นายวิทูรย์ เจียสกุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า กคช.เตรียมที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย บริเวณพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามนโยบายการพัฒนาโครงการของกคช. ที่จะร่วมมือการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ กับรฟม. ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในทำเลพื้นที่เกาะแนวรถไฟฟ้า เพื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยใกล้สถานที่ทำงาน ความร่วมมือดังกล่าว จะเริ่มต้นด้วย 3 โครงการแรก เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าฯ ลาดพร้าว บางใหญ่ และดินแดง ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท สำหรับที่อยู่อาศัย และอาคารเพื่อการพาณิชย์มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท จะเริ่มต้นพัฒนาตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2556 ต่อเนื่องไปถึงปี 2557 โดยโครงการนี้จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ขายราคาเริ่มต้นยูนิตละ 6 แสนบาท ไปจนถึงสูงสุดประมาณ 5 ล้านบาท ภายใต้แผนการที่วางไว้นั้น โครงการในทำเลลาดพร้าว จะพัฒนาประมาณ 300 ยูนิต ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบว่า อาจทำสัญญาเซ้งระยะยาวหรือให้เช่า ต้นทุนในการพัฒนาโครงการนี้จะอยู่ที่ประมาณยูนิตละ 4-5 แสนบาท หลังพัฒนาแล้วจะเปิดให้เช่าแบบสัญญา 30 ปี ราคาเช่าเซ้งเปิดที่ 6 แสนบาท -1.5 ล้านบาท/ยูนิต ส่วนที่บางใหญ่ จะพัฒนาเป็นรูปแบบอาคารผสมผสาน มีทั้งที่อยู่อาศัย และพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยกคช.จะเช่าที่ดินจากรฟม.เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย เจาะกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ไม่สูงนัก ราคาขายประมาณยูนิตละ 6 แสนบาท สำหรับที่ดินแดง กคช.จะทำการพัฒนาโซนดี ในย่านเคหะชุมชนดินแดง ขึ้นเป็นอาคารแบบผสมผสาน มีทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท “ในส่วนของโครงการดินแดง เราได้เจรจากับรฟม.ขอย้ายสถานีรถไฟสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี มาอยู่ในบริเวณชั้นใต้ของโครงการ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการ” ทั้งนี้ กคช. และรฟม. ได้วางแนวทางความร่วมมือพัฒนาที่อยู่อาศัยดังกล่าวไว้ 3 แนวทางด้วยกัน แบบแรกให้กคช.ลงนามแบบเช่าระยะยาว ส่วนแบบที่ 2 เป็นการร่วมกันบริหาร และแบบที่ 3 เป็นการร่วมทุนของ 2 ฝ่ายโดยกคช.และรฟม.จะถือหุ้นน้อยกว่า 50% ที่เหลือเปิดให้เอกชนร่วมทุน และเปิดกว้างแผนพัฒนาแบบยืดหยุด แต่ยังคงเน้นรองรับตลาดผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก นายวิทูรย์เผยด้วยว่า ได้มีการว่าจ้างบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง เข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์)ขึ้นมา เพื่อรองรับแผนพัฒนาในระยะยาว ตามนโยบายของรัฐบาล และกคช. มีแผนจะใช้โมเดลธุรกิจเดียวกันนี้ ไปร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งจะใช้งบดำเนินการมากกว่า 3 แสนล้านบาท “ขณะนี้เรากำลังศึกษาในรายละเอียด โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อสรุปว่า จะเดินหน้าตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์หรือไม่ ใน 1-2 ปีข้างหน้า” นายวิทูรย์ กล่าว