สวัสดีเพื่อนๆ ชาว ไอทีเมามันส์ ทุกคน พบกันเป็นประจำเช่นเคยกับการอัพเดทข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในโลกไอที สำหรับครั้งนี้เรามีข่าวใหญ่จะมาแจ้งให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ทราบว่า ตอนนี้ Nokia เนื้อหอมสุดๆ เพราะ Microsoft มีแผนเข้าซื้ออีกครั้ง ขณะที่ Intel ก็แสดงความสนใจซื้อ Nokia ด้วยเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเล้ยย
สรุปข่าวการเข้าซื้อบริษัท Nokia ล่าสุดเป็นดังนี้
- บริษัทวิเคราะห์ CCS Insight คาดการณ์ว่าในปี 2021 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอย่าง Microsoft จะเข้าซื้อ Nokia อีกครั้ง ขณะที่ Intel ก็แสดงความสนใจซื้อ Nokia ด้วยเช่นกัน
- Microsoft เคยซื้อธุรกิจมือถือของ Nokia มาแล้วในปี 2013 โดยหวังว่าจะผลักดัน Windows Phone มาเป็นคู่แข่งของ iPhone และ Android แต่ต้องพบกับความล้มเหลวจนต้องขายธุรกิจมือถือของ Nokia ออกไปในอีกไม่กี่ปีต่อมา และปัจจุบันแบรนด์สมาร์ทโฟนของ Nokia ก็ดำเนินธุรกิจโดย HMD Global บริษัทจากฟินแลนด์ ที่เหมือนเป็นแขนขาของ Nokia เนื่องจากผู้บริหาร HMD หลายคนต่างก็เคยร่วมงานกับ Nokia มาหลายปี
- อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อ Nokia อีกครั้งของ Microsoft ไม่ได้เป็นการเข้าซื้อธุรกิจมือถือ แต่อาจเป็นธุรกิจเครือข่าย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีคำสั่งห้ามผู้ให้บริการโทรคมนาคมในประเทศ ใช้อุปกรณ์จากซัพพลายเออร์ในจีนอย่าง Huawei
- ขณะที่ Nokia ได้บรรลุข้อตกลงที่จะเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์รายใหญ่ที่สุดให้กับ BT ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร
- เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังมองหาทางเลือกอื่นแทนที่ Huawei และ Nokia ก็น่าดึงดูดพอสำหรับ Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ในสหรัฐฯ
- Microsoft กำลังให้ความสนใจแวดวงโทรคมนาคม เห็นได้ชัดเจนจากการซื้อกิจการของ Metaswitch และ Affirmed Networks ในปีที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 บริษัทมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ 5G และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
- ถ้าหาก Microsoft ต้องการซื้อ Nokia ก็จะต้องแข่งขันกับ Intel ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ และกำลังให้ความสำคัญกับพื้นที่ 5G เช่นเดียวกัน โดยนักวิเคราะห์มองว่า Intel จะกลายเป็น บริษัทที่น่าจับตามองในแวดวงโทรคมนาคมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
และนี่ก็คือข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในโลกไอทีที่เราอยากแจ้งให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่าข่าวนี้คงจะสร้างความตื่นเต้นแก่คอไอทีทุกคน ส่วนการซื้อขายในอนาคตที่จะเกิดขึ้นจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเราก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป
ที่มา – Forbes