ถึงยุคที่ต้องเปลี่ยนบัตรกันแล้วนะครับ สำหรับผู้ใช้งานบัตร ATM แบบเราๆก็คงทำอะไรไม่ได้ เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นต้องทำความเข้าใจว่าบัตรที่เป็นแบบชิปการ์ด นั้นมีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งต่างจากปัจจุบันบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มที่ใช้งานอยู่ในไทยส่วนใหญ่จะมีแถบแม่เหล็ก (Magnetic Stripe) อยู่ด้านหลังบัตร
แถบแม่เหล็กนี้เองจะทำให้เกิดช่องโหว่ในการสกิมมิ่ง (Skimming) ได้ ซึ่งก็คือการที่มิจฉาชีพลักลอบคัดลอกข้อมูลในแถบแม่เหล็ก โดยการติดตั้งอุปกรณ์คัดลอกข้อมูลบัตรหรือที่เรียกว่าสกิมเมอร์ (Skimmer) ไว้ที่ช่องสอดบัตรของเครื่องเอทีเอ็มเพื่อคัดลอกข้อมูลของผู้ถือบัตรที่มาใช้งาน
ธปท.ในฐานะที่กำกับดูแลสถาบันการเงินได้มีนโยบายขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินให้เปลี่ยนรูปแบบบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตจากเดิมที่ใช้แถบแม่เหล็ก (สกิมมิ่ง) ให้เปลี่ยนเป็นชิปการ์ด ตั้งแต่กลางปีของ 2556 ก่อนเหตุโจรกรรมผ่านสกิมมิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ โดยทาง ธปท.ยืนยันว่า การเปลี่ยนจากแถบแม่เหล็กเป็นชิปการ์ดจะช่วยป้องกันการโจรกรรมคัดลอกข้อมูลได้ เพราะข้อมูลของบัญชีบัตรจะบันทึกในชิปประมวลผล ซึ่งปลอดภัยเนื่องจากเข้ารหัสไว้อีกชั้นและจะอ่านข้อมูลได้ก็เฉพาะระบบที่กำหนดไว้ ทำให้มั่นใจถึงความปลอดภัยได้อีกขั้นหนึ่ง
ชิปการ์ด หรือที่อาจได้ยินในชื่ออื่น ๆ เช่น Smart Card หรือ EMV (ย่อมาจาก Europay, MasterCard และ Visa) แท้จริงแล้วคือ บัตรที่มีการเก็บข้อมูลของผู้ถือบัตรไว้ในชิปที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว ปัจจุบันเทคโนโลยีชิปเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในเรื่องของความปลอดภัย สามารถป้องกันการคัดลอกข้อมูลและทำบัตรปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลายประเทศทั่วโลกได้มีการใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็มที่เป็นชิปการ์ดแล้ว เช่นในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย นอกจากนี้ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนเองอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียก็มีการใช้ชิปการ์ดแล้วเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย บัตรเครดิตที่ออกใช้ในปัจจุบันเป็นชิปการ์ดแล้ว ส่วนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดกรอบเวลาให้ธนาคารพาณิชย์ออกบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มให้เป็นชิปการ์ดสำหรับบัตรที่ออกใหม่
จากที่ได้ลองค้นข้อมูลมีการออกมาประกาศหลายครั้งที่ผ่านมาแล้วว่าจะเปลี่ยนๆ แต่ก็ยังไม่ได้ชัดเจน ต้องคอยดูกันต่อครับว่าครั้งนี้ที่ระบุว่าจะเปลี่ยน ภายใน 16 พค. 2559 นี้ จะทำได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญคือชาวไอทีเมามันส์น่าจะได้เคยพบปัญหาที่ธนาคารมักจะ ชอบขายของแถมพ่วงมากับบัตร เช่นประกันหรืออะไรก็ตามที่เรามักไม่อยากได้ อยากให้ผู้ใหญ่ที่ดูแลเรื่องนี้ช่วยจัดการให้ด้วยเลยละกันครับ ใครมีความคิดเห็นใดๆก็มาแชร์กันได้ครับ
แต่สำหรับแหล่งข่าวนั้นรอบนี้ได้ระบไว้อย่างชัดเจนว่า..
คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้เปิดเผยร่างประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีใจความสำคัญระบุว่า ให้ธนาคารต่าง ๆ ที่ออกบัตร ATM หรือบัตรเดบิต ให้ลูกค้าหลังวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ต้องใช้บัตรที่เป็นชิปการ์ดเท่านั้น จะไม่ใช้บัตรแถบแม่เหล็กที่มีความเสี่ยงในการโดนสำเนาข้อมูล (skimming) เพื่อไปแอบกดเงินโดยที่เจ้าของบัตรไม่รู้ตัว ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ประเทศไทยก็เป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพเหล่านี้มาโดยตลอด นั่นเพราะเรายังใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็กอยู่นั่นเอง ส่วนบัตร ATM หรือบัตรเดบิต รุ่นเก่าที่ออกไปแล้วยังไม่หมดอายุ จะผ่อนผันให้ใช้งานได้ต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็นบัตรรุ่นใหม่ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 อย่างไรก็ตาม เราต้องเข้าใจว่าการที่ประเทศไทยจะหันมาใช้บัตรแบบชิปการ์ดทั้งหมดนี้ ใช่ว่าจะปลอดภัย 100 % แต่จะลดความเสี่ยงลงได้มากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ส่วนตู้ ATM ที่รองรับบัตรแบบชิปการ์ดนี้ คาดว่าในช่วงวันที่ 16 พฤษภาคม จะรองรับมากกว่า 80 % และครอบคลุมทั้งหมดภายในปีนี้ สำหรับบัตร Be1st ของธนาคารกรุงเทพ ผู้นำในการใช้ชิปการ์ดในไทย ที่ผ่านมาผู้ใช้จะกดเงินได้เฉพาะตู้ ATM ของธนาคารกรุงเทพเท่านั้น เพราะตู้ ATM ธนาคารอื่นยังไม่รองรับ หลังจากนี้คาดว่าจะสามารถใช้ตู้ ATM ของธนาคารอื่นได้ด้วย ไม่ต้องวิ่งหาเฉพาะตู้ ATM ของธนาคารกรุงเพทอีกต่อไปครับ
ผมเองก็ใช้ Be1st ของธนาคารกรุงเทพ อยุ่เหมือนกันเวลากดเงินนี้ต้องวิ่งหาตู้ซึ่งลำบากเหมือนกันดังนั้นมันผูกขาดเกินไปแล้วคิดว่าหลายๆคนก็คงจะเป็นกันเอาละมารอดูความเปลี่ยนแปลงกันครับชาวไอทีเมามันส์..
Reference
- Banks to issue chip cards from May 16 at bangkokpost
- ชิปการ์ด : อนาคตของบัตรเดบิต/บัตรเอทีเอ็ม at bangkokbiznews