นับจากอดีตที่หลายๆท่านได้เคยร่ำเรียนมาในยุคไม้เรียวครองเมืองนั้น ทุกท่านยังคงจำความเจ็บแสบได้ไม่เคยลืม แต่ทุกคำสั่งสอน ทุกการกระทบของไม้เรียวลงบนฝามือหรือก้นของทุกๆท่านนั้น มันล้วนมาจากความรักและความปราถนาดีจากครูเพื่อให้บทเรียนย้ำเตือนว่าเราไม่ควรกระทำอีก ต่อมาก็เกิดการนำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การตีจึงถูกยกเลิกไป (แต่ครูก็ยังแอบตีอยู่ดีนั้นแหละ) แต่ทำไมเด็กไทยพฤติกรรมจึงกลับแย่ลง ผมขออนุญาตสะท้อนเป็นเรื่องๆ ไป ดังนี้นะครับ ลองนึกภาพตามง่ายๆ ในชาติตะวันตกนั้นเขาถูกปลูกฝังให้เลี้ยงดูลูกด้วยการใช้เหตุและผลเป็นตัวตั้ง เขาสอนให้เด็กรู้จักการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ดังนั้น ไม้เรียวจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับพ่อแม่และโรงเรียน แต่สังคมไทยทุกวันนี้แบ่งพ่อแม่เป็น 3 ประเภท คือ
1. พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบตามใจอยากได้อะไรอยากทำอะไรก็ได้ โดยเข้าใจว่านี่คือลูกของเรา เด็กกลุ่มนี้จะมีปัญหาการเข้าสังคมโรงเรียน ไม่ฟังความคิดเห็นของใคร ไม่ยอมเสียผลประโยชน์ของตนเอง เพราะ ถูกเลี้ยงมาเพื่อให้ชนะอย่างเดียว เด็กจึงไม่รู้จักความผิดหวัง
2. พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบโปรแกรมเมอร์ คือ การบังคำกฏเกณฑ์ลูกทุกอย่าง ทุกท่วงท่าจังหวะชีวิตของเด็กถูกวางกรอบแล้วจากพ่อแม่ เด็กกลุ่มนี้ถูกเลี้ยงให้เป็นผู้ตามอย่างเดียว เด็กจึงคิดไม่เป็นหรือคิดเป็นแต่ขาดความมั่นใจในตนเองไป พ่อแม่กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ยังใช้ไม้เรียวเป็นส่วนประกอบของการเลี้ยงดูลูกอยู่
3. พ่อแม่เลี้ยงบนเหตุและผล กลุ่มนี้คือกลุ่มที่สอนลูกให้รู้จักยอมรับผู้อื่นสอนให้เรียนรู้ชีวิตเข้าใจตนเอง และ ผู้อื่น เปิดโอกาสให้คิดอย่างอิสระ เด็กกลุ่มนี้เมื่อก้าวเข้าสู่โรงเรียนจะเป็นกลุ่มผู้นำทางความคิดแต่น่าเสียดยที่เด็กกลุ่มนี้มีน้อยมากจากอดีต เมื่อถามเหตุผลว่า ทำไมเด็กกลุ่มนี้จึงเหลือน้อย เหตุผลเพราะเรายังคงคือเราครับ ถูกปลูกฝังให้เลี้ยงดูลูกแบบสไตร์ตัวเองเป็นหลักขาดการศึกษาคู่มือการเลี้ยงลูก ยังคงคิดว่าตัวเองถูกเสมอ เมื่อได้รับฟังข้อแนะนำจากคนอื่นก็มักจะไม่เชื่อหรือนำกลับมาคิด เมื่อครูผู้ที่มีหน้าที่หลักคือการเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ในอดีต กลับ ถูกเปลี่ยนค่าความหมายเป็นเพียงผู้รับจ้างสอนหนังสือจากตัวเด็กและผู้ปกครองบางส่วน อันเนื่องจากการลดอำนาจการทำโทษเด็กลงมา เมื่อร้อยพ่อพันแม่ การเลี้ยงดูหลากหลายจากที่บ้านมาถูกรวมกันในโรงเรียน กฏเกณฑ์และระเบียบของโรงเรียนถูกตั้งไว้เพื่อให้ทุกคนเดินตามเพื่อความสงบเรียบร้อยของโรงเรียน เกณฑ์การทำโทษที่ในอดีตคือการตี หากร้ายแรงหน่อยก็ตีโชว์หน้าเสาธงกลับถูกมองจากกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการทำร้ายร่างกายเด็ก และ เป็นการทำให้เด็กอับอาย การตีถูกยกเลิก กฏระเบียบที่ตั้งมาถูกเปลี่ยนรูปแบบการลงโทษ เด็กส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกสอนให้ใช้เหตุผลกำกับชีวิต จึงไม่กลัวในการทำผิดเพราะไม่มีอะไรสะกัดกั้นสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ผิดจากเขาได้ การขัดเกลาคุณธรรมเด็กจึงลดน้อยลงมา หากวันนี้เรายังคงมีไม้เรียวสร้างชาติเหมือนอดีตเพื่อสะกัดกั้นเด็กที่มีพฤติกรรมเชิงลบผนวกกับการสนับสนุนให้เด็กกลุ่มนั้นกลับมาเดินในทางที่ถูกที่ควร เด็กไทยทุกวันนี้คงลดปัญหาลงมาอีกเยอะ
คำว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ยังคงใช้ได้เสมอ แต่ขอให้การตีเกิดมาจากเหตุและผลที่เหมาะสมเพื่อเตือนสติเด็กมากกว่าการตีเพียงเพราะอารมณ์ของตนเอง