วัสดุก่อสร้าง ปรับราคายกแพง กระทบต้นทุนสร้างบ้าน ”เอพี“ หันพึ่งพรีแฟบ เลือกทาวน์เฮ้าส์ เดอะ พลีโน่ ราคาต่ำ 2 ล้านบาทขึ้นแท่นบ้านต้นแบบก่อนขยับนำระบบสู่แบรนด์ ”บ้านกลางเมือง” ร่นเวลาการก่อสร้างกว่าครึ่ง นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้นทุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบได้ปรับสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาขายขึ้นทุกประเภททั้งวัสดุก่อสร้างประเภทตกแต่งและวัสดุก่อสร้างหลัก ไม่ว่าจะเป็นคอนกรีตผสมเสร็จ ปูนซีเมนต์ถุงที่ปรับขึ้นเป็นรายเดือนรวมประมาณ 10-20 บาท/ถุง ขณะที่เหล็กนั้นปรับจาก 22 -23บาท/กก.เมื่อปีก่อนมาอยู่ที่ 24-25 บาทต่อกิโลกรัม จากปีที่แล้วอยู่ที่ 22 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนคอนกรีตผสมเสร็จ ปรับขึ้นประมาณ 10-20 บาทต่อถุง หรือปัจจุบันอยู่ที่ 1,900 บาทต่อคิว ทั้งนี้ แม้บริษัทจะแก้ไขปัญหาด้วยการล็อคราคาต่างๆ ไว้ กับซัพพลายเออร์แต่ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง ทำให้บริษัทต้องหันมาให้ความสนใจที่จะบริหารและจัดการต้นทุนการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหันใช้ระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปหรือ ระบบการก่อสร้างพรีแฟบอย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มที่ เดอะ พลีโน่ ทาวน์เฮ้าส์ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท/ยูนิต เป็นแบรนด์ต้นแบบ ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและการร่นระยะเวลาการก่อสร้าง ที่ปกติการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบมาอยู่ที่ 3 เดือน จากที่ก่อนหน้าใช้เวลาประมาณ 7 เดือน การที่ระยะเวลาการก่อสร้างสั้นทำให้เพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจดีขึ้น ในขณะะเดียวกันกันก็ช่วยให้การทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงคล่องตัวในการกำหนดราคาขายเฉลี่ยเพื่อคงระดับอัตรากำไร โดยตามแผนนั้นบริษัทจะนำเอาโมเดลการก่อสร้างดังกล่าวไปใช้กับโครงการบ้านกลางเมือง และบ้านกลางกรุง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยระดับกลาง-สูงเริ่มต้นที่ 4-5 ล้านบาท /ยูนิต ทั้งนี้ การต่อยอดนำระดบบการก่อสร้างสำเร็จรูปแต็มรูปแบบสู่แบรนด์อื่นๆนั้น น่าจะเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคงใช้จุดขายด้านการดีไซน์ภายใต้แนวคิด “บ้านเย็น” เหมือนกับแบรนด์ เดอะ พลีโน่ ทาวน์เฮ้าส์ ที่ได้เปิดตัวเมื่อต้นปี 2 โครงการครงการสามารถสร้างยอดขายรวมได้มากถึง 200 ยูนิต หรือประมาณ 60 % จากทั้งหมด 336 ยูนิต จากการเปิดขายในเฟสแรก ตามแผนการเปิดแบรดน์ เดอะ พลีโน่ ในปีนี้มี 6 โครงการรวมกว่า 5 ,000 ล้านบาท ส่วนการเปิดโครงการอื่นๆรมถึงยอดขายและยอดรับรู้รายได้นั้นยังคงเป็นตามแผนที่วางไว้ทั้งปี โดย ณ วันที่ 25 พ.ค.54 มียอดพรีเซล ประมาณ 4,700 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 2,900 ล้านบาท และที่เหลือมาจากโครงการประเภทคอนโดมิเนียม คาดว่าในครึ่งปีแรกนี้จะมียอดขายรวมทั้งสิ้น 6,500 ล้านบาท จากทั้งปีตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 24%