Facebook โดนดีแดนไส้กรอกบอกระบบจดจำใบหน้าผิดกฏหมาย

Must Read

Jiradech Suchada
Jiradech Suchadahttps://www.itmoamun.com/
การตลาดออนไลน์ เทคโนโลยี ธุรกิจ Passive Income ทำตัวเป็น Blogger แถมกด Shutter รัวๆ แล้วออกไปปั่นๆ พร้อมทั้งเก็บเป็นเรื่องราวดีๆผ่านพื้นที่ตรงนี้ออกมาเป็นบทความ รูปภาพ วิดีโอ แบบเล่าสู่กันฟัง อย่าลืมมาติดตามกันนะครับ

เฟซบุค, ระบบจดจำใบหน้า, Facebook ฟีเจอร์ใหม่ของเฟซบุคอย่าง facial recognition* (หรือระบบจดจำใบหน้า) ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว และหลายๆ คนก็ชื่นชอบกับฟีเจอร์นี้ แต่ทว่าทางประเทศเยอรมนีไม่คิดเช่นนั้น โดยถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล เลยประกาศแบนเว็บไซต์เฟซบุค กลายเป็นว่าตอนนี้ในเยอรมนี เฟซบุคเป็นเว็บไซต์ผิดกฏหมายไปแล้ว ประเทศเยอรมนีถือได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นกังวลกับเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเป็น อย่างมาก เพราะประเทศเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยสงครามโลก หรือนาซี ทำให้มีกฏหมายเรื่อง ‘สิทธิที่จะมีตัวตนแบบนิรนาม’ หรือไม่เปิดเผยชื่อนั่นเอง พอเฟซบุคจัดฟีเจอร์ที่จะแท็กตัวบุคคลได้โดยอัตโนมัติ ก็เลยงานเข้าแบบนี้แหละ วิธีแก้ไขก็มีแนวทางอยู่หลายๆแนวทางเหมือนกัน เช่น ให้ผู้ใช้เลือกปิดฟีเจอร์นี้ได้ หรือทำให้สามารถลบที่แท็กมาได้ง่ายๆ ไม่งั้นเฟซบุคอาจจะโดนปรับสูงถึง $500,000 เลยทีเดียว แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะไม่ได้มากมายอะไรสำหรับเฟซบุค แต่ว่าจากการเป็นเว็บไซต์ผิดกฏหมาย หรือถูกสื่อโหมกระหน่ำข่าวด้านเสีย อาจจะเป็นเรื่องแย่ต่อบริษัทยิ่งกว่ากว่าเสียเงินครึ่งล้านเสียอีก ทางการให้เวลาเฟซบุคสองสัปดาห์ หวังว่าเฟซบุคจะแก้ไขปัญหาและกลับมาเป็นเว็บถูกกฏหมายเร็วๆนี้ อรรถาอธิบาย *Facial Recognition – ระบบจดจำใบหน้า คือระบบที่บอกได้ว่าใบหน้าไหนเป็นใคร **Facial Detect – ระบบตรวจจับใบหน้า คือระบบที่บอกว่าในภาพมีใบหน้าหรือไม่ สำหรับ Facial Detect ไม่สามารถบอกได้ว่าในภาพนั้นๆ บุคคลในภาพคือใคร ในขณะที่ Facial Recognition จะตรวจจับและบอกได้ว่าเป็นใคร ในข่าวเป็นรูปแบบนี้ ที่มา – Gizmodo

อัพเดท! ก่อนใคร

เรื่องราวเจ๋งๆ ล้ำๆ สดใหม่ถึงคุณโดยตรงเพียงแค่กรอก Email ไว้เท่านั้น

รายละเอียดเงื่อนไขที่ privacy policy.

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

- Advertisement -

Latest News

สรุปสถานการณ์ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก: ผลกระทบจาก Fed, ราคาน้ำมัน

ตลาดหุ้นทั่วโลกประสบกับการปรับตัวลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันพบกับความผันผวน โดยมีการเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อน และลดลงในวันที่ 8 เมษายน หลังการเจรจาหยุดยิงในตะวันออกกลาง ทองคำก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวในไต้หวันส่งผลกระทบจำกัดต่ออุตสาหกรรมผลิตชิป และตลาดหุ้นจีนได้รับประโยชน์จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด เงินเฟ้อในยุโรปก็แสดงถึงการลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเดือนมิถุนายน ด้านผู้จัดการกองทุนต่างคาดการณ์ว่าตลาดโดยรวมจะแกว่งตัวตามข้อมูลเงินเฟ้อและผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ภาพรวมตลาดที่ผ่านมาแกว่งตัวในแนวข้าง...
- Advertisement -

More Articles Like This