Hyundai / Kia เปิดแผนปี56 ลดการผลิต พุ่งเป้ายกระดับแบรนด์คาดมีการแข่งขันดุเดือด

Must Read

Jiradech Suchada
Jiradech Suchadahttps://www.itmoamun.com/
การตลาดออนไลน์ เทคโนโลยี ธุรกิจ Passive Income ทำตัวเป็น Blogger แถมกด Shutter รัวๆ แล้วออกไปปั่นๆ พร้อมทั้งเก็บเป็นเรื่องราวดีๆผ่านพื้นที่ตรงนี้ออกมาเป็นบทความ รูปภาพ วิดีโอ แบบเล่าสู่กันฟัง อย่าลืมมาติดตามกันนะครับ

Hyundai / Kia 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์เกาหลีใต้ ฮุนได มอเตอร์ โค และพันธมิตร เกีย มอเตอร์ คอร์ป ตั้งเป้ายอดจำหน่ายทั่วโลกเติบโต 4%ปีนี้ หรือคิดเป็นรถยนต์เพิ่มขึ้น 7.41 ล้านคัน โดยยอดจำหน่ายดังกล่าวนับเป็นการเติบโต ซึ่งช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 ผู้ผลิตยานยนต์ทั้งสอง ซึ่งมียอดขายรวมกันมากเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คาดว่า ตัวเลขการเติบโตปีนี้จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยประธานกลุ่มบริษัท “ซุง มุง-กู” ได้สั่งให้ชะลอปริมาณการผลิตลง เพื่อมุ่งความสนใจไปยังการพัฒนาแบรนด์และกำไร ด้วยความหวังว่า จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง ที่รวมถึง โตโยต้าของญี่ปุ่นด้วย ซุง มุง-กู วัย 74 ปี กล่าวระหว่างการประชุมพนักงานประจำปีของบริษัท ว่า ฮุนไดและเกียจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการพัฒนาคุณภาพของรถยนต์ และเพื่อตอบสนองต่อนโยบาลดังกล่าว บริษัทเกียได้แต่งตั้งรองประธานบริหารและหัวหน้าดีไซเนอร์ “ปีเตอร์ ชเรเยอร์” ซึ่งโด่งดังจากการออกแบบรถออดี้ ทีที ขึ้นเป็นประธานบริหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่เมื่อต้นปีที่แล้ว ฮุนได คว้าตัวดีไซเนอร์ของบีเอ็มดับบลิว “คริสโตเฟอร์ แชปแมน” มาเป็นหัวหน้าศูนย์ออกแบบของบริษัทในสหรัฐ อดีตผู้บริหารระดับสูงของฮุนได เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ประธานซุงระบุว่าขีดการผลิตสูงสุดของบริษัทอยู่ที่ 8 ล้านคันและจะไม่มากไปกว่านั้น พร้อมเสริมว่า บริษัทจำเป็นต้องวางตำแหน่งของตนเองในตลาดให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มส่วนต่างกำไร โดยโฆษกของฮุนได เปิดเผยว่า “บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนเปิดตัวรถยนต์หรู ในงานมหกรรมยานยนต์ที่เมืองดีทรอยต์ ของสหรัฐ ทั้งนี้ ฮุนได ตั้งเป้าการขยายยอดจำหน่ายเป็น 4.6 ล้านคันในปีนี้ ขณะที่เกีย ตั้งเป้าน้อยกว่าไว้ที่ 2.75 ล้านคัน ขณะที่นักลงทุน กังวลว่า กลยุทธ์การเติบโตอย่างเชื่องช้าของฮุนไดและเกีย และค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่แข็งค่า จะเป็นอุปสรรคต่อเป้าการเติบโตข้างต้น เนื่องจาก สกุลเงิน ‘วอน’ ซึ่งแข็งค่ามากกว่า 7.6% ต่อ 1 ดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว จะทำให้กำไรและข้อได้เปรียบด้านราคาของบริษัทน้อยลง

อัพเดท! ก่อนใคร

เรื่องราวเจ๋งๆ ล้ำๆ สดใหม่ถึงคุณโดยตรงเพียงแค่กรอก Email ไว้เท่านั้น

รายละเอียดเงื่อนไขที่ privacy policy.

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

- Advertisement -

Latest News

สรุปสถานการณ์ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก: ผลกระทบจาก Fed, ราคาน้ำมัน

ตลาดหุ้นทั่วโลกประสบกับการปรับตัวลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันพบกับความผันผวน โดยมีการเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อน และลดลงในวันที่ 8 เมษายน หลังการเจรจาหยุดยิงในตะวันออกกลาง ทองคำก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวในไต้หวันส่งผลกระทบจำกัดต่ออุตสาหกรรมผลิตชิป และตลาดหุ้นจีนได้รับประโยชน์จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด เงินเฟ้อในยุโรปก็แสดงถึงการลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเดือนมิถุนายน ด้านผู้จัดการกองทุนต่างคาดการณ์ว่าตลาดโดยรวมจะแกว่งตัวตามข้อมูลเงินเฟ้อและผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ภาพรวมตลาดที่ผ่านมาแกว่งตัวในแนวข้าง...
- Advertisement -

More Articles Like This