“ถ้าเปรียบชีวิตเป็นดอกไม้ เราทุกคนคงมีช่วงเวลาผลิบานแตกต่างกันไป”
START-UP (2020) ซีรีส์เกาหลีความยาว 16 ตอน พูดถึงความฝัน ความรัก การต่อสู้ดิ้นรนของผู้คน ซึ่งขนานอยู่บนเส้นทางธุรกิจที่เรียกว่า “สตาร์ทอัพ” (องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาโมเดลธุรกิจที่ทำซ้ำได้ และเติบโตแบบก้าวกระโดด) ในปริมาณที่พอเหมาะ มีประเด็นให้คนดูลุ้นตามจนถึงบทสรุป
ซอดัลมี (แบซูจี) พ่อแม่แยกทางกันแล้วเธอเลือกอยู่กับพ่อที่ลาออกจากงานเพื่อสานฝันตัวเอง และย่า (คิมแฮซอก) ส่วนแม่กับพี่สาวไปอยู่กับครอบครัวใหม่ที่รวยและประสบความสำเร็จแล้ว ผู้เป็นย่ากลัวว่าหลานจะไม่มีเพื่อน จึงขอให้ ฮันจีพยอง (คิมซอนโฮ) เด็กกำพร้าที่เธอช่วยเหลือ เขียนจดหมายถึงหลานสาว โดยเขาอ้างชื่อ นัมโดซาน (นัมจูฮยอก) เด็กอายุน้อยไอคิวสูงผู้แบกความหวังของพ่อแม่ ที่หน้าของเขาโชว์หราบนหนังสือพิมพ์จากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาเติบโตขึ้น ดัลมีต้องการพบผู้ชายในจดหมายที่เป็นรักแรกของเธอ คุณย่ารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง พร้อมๆ กับได้เจอฮันจีพยองอีกครั้ง เมื่อเขาทราบเรื่องเลยขอรับหน้าที่เสาะหาโดซาน ที่กลายเป็นว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนเขา แต่จนแล้วจนรอดก็ไปขอร้องให้โดซานช่วยเป็นคนในจดหมายให้ โดซาน วิศวกรนักพัฒนา มีบริษัทที่ทำร่วมกับเพื่อนอีกสองคนของเขา ภายใต้ซัมซานเทค อยู่ในช่วงวิกฤต ได้โอกาสเสนอโปรเจกต์ให้ฮันจีพยองฟัง และขอให้ช่วยลงทุนกับเขา แต่ถูกปฏิเสธ ถึงแม้เป็นแบบนั้นโดซานก็ตัดสินใจเปลี่ยนลุคเพื่อไปพบดัลมี เกิดเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ที่ทั้งคู่กลายเป็นคนสำคัญของกันและกันในที่สุด ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ขออนุญาตไม่บอกกล่าว เผื่อมีใครที่ยังไม่ได้ดูละกันเนอะ
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าหลายคนไม่ใคร่ดูซีรีส์ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา หนึ่งในนั้นคือ การใช้พลังงานและเวลาค่อนข้างมากนั่นเอง เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ “ความหลงใหลในอาชีพ” ของตัวละครทำงานและพาคนดูไปถึงตอนจบอย่างปฏิเสธไม่ได้ (More Than Friends, Run On อีกสองเรื่องที่ดูจบแล้ว และมีสิ่งนี้เช่นกัน) ทั้งยังได้รู้จักศัพท์แสงมากมายในแวดวงธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงแง่มุมชีวิตของตัวละครที่สะท้อนความคิดจนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลกให้ก้าวไกลไปจากเดิม
ถึงตรงนี้ขอเอ่ยถึงนักแสดงเพื่อกระตุ้นให้ไปหาดูสักนิดสักหน่อย
นัมจูฮยอก (กรี๊ดดดด) ใส่เต็มแม็กจริงๆ บทเด็กเนิร์ดที่เขาแสดงออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดู พาร์ตดราม่าก็ดี หรือตอนอยู่กับแก๊งซัมซานเทค ยิ่งมาเวย์ฟีลแฟนอีกนะ โอ้โหใจเต้นแรงชนิดหาที่วัดชีพจรกันแทบไม่ทัน จากที่ชอบเป็นทุนเดิมก็เพิ่มเลเวลไปอีกสองร้อยเท่าทันที ฉะนั้นไม่ควรพลาด
แบซูจี ถึงหลังๆ มาจะเป็นสายคอมเมดี้ไปแล้ว กับหน้าสวยๆ ที่ย้อนแย้งนั้น ดูกี่ทีก็มีเสน่ห์ คือไม่ห่วงสวยเพราะสวยอยู่แล้วน่ะเข้าใจ แต่เล่นให้ฮาแบบไม่ต้องพยายามเหมือนออกมาจากข้างในก็ต้องยกให้เธอเลย
คิมซอนโฮ ยังคงไลเซนส์การแสดงในแบบฉบับของเขา ที่เห็นชัดเลยก็คือจะชอบทำเสียงให้แหบแห้งแล้วกระแอมให้กลับมาเป็นเสียงเข้ม มุกนี้คือขายได้ตลอด ประมาณว่าขัดกับมาดเท่และหน้าตาอันหล่อเหลาว่างั้นเถอะ
คิมแฮซอก คือแพ้พ่าย แล้วพอผนวกกับข้อความดีๆ ในเรื่อง ที่เปรียบเป็นหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจให้ตัวละครอื่นแล้ว เชื่อว่าหลายคนแอบมีน้ำตาเวลามีฉากคุณย่าแน่นอน
ยูซูบิน คนนี้ม้ามืดและจะลืมไม่ได้ ใช้คำว่าขโมยทุกซีนที่มีเขาอยู่ด้วย รับบทอีชอลซาน เป็นเพื่อนร่วมหัวจมท้ายของโดซาน เสียงทุ้มๆ บวกกับการหัวเราะทิ้งท้ายตอนจบประโยค ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่ชอบมากกก (ระหว่างนั่งพิมพ์แค่นึกถึงก็ยังขำอะ)
ส่วนซีนที่ชอบนั้นมีเยอะมาก ขอเลือกเป็นตอนที่โดซานบอกความจริงเรื่องย่ากับดัลมีตรงที่นั่งหน้า SANDBOX ซึ่งฉายภาพด้านหลังของทั้งคู่ ให้ความรู้สึกเศร้าที่ได้รับการปลอบโยนได้ดีจริงๆ
และก่อนที่จะยาวไปกว่านี้ เอาเป็นว่าหากเปรียบเหมือนการลงทุน ใครดูซีรีส์เรื่องนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าและการันตีกำไรที่จะได้ตั้งแต่เริ่มรับชมอีพีแรก ถ้าพร้อมแล้วก็รวบผมมัดให้เป็นหางม้าตรงไปนั่งหน้าจอตามอัธยาศัยกันเลยจ้า
ป.ล.
– ข้อความที่ตัวเองอยากเขียนลงบนแผ่นกระดาษโพสต์อิตของ SANDBOX
“ในทุกความฝัน นอกเหนือไปจากกำลังกาย กำลังทรัพย์ ฉันคงต้องการกำลังใจมาเป็นแรงสนับสนุน แม้ปลายทางอาจไม่สำเร็จ แต่มันก็ดีกว่าไม่มีใช่ไหมล่ะ เผื่อไว้ๆ”