ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2025 นี้ วงการข่าวและตลาดพลังงานโลกต้องสะเทือนอีกรอบ เมื่อประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งรัสเซีย ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวชนิดที่เรียกว่า “พร้อมชน” ชัดเจนว่า “รัสเซียพร้อมแล้ว” หากยุโรปต้องการทำสงคราม! (Reuters)
คำขู่นี้ไม่ใช่แค่พูดไปงั้น ๆ แต่เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องจากเหตุการณ์โจมตีเรือบรรทุกน้ำมันและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียหลายครั้งในเขตทะเลดำและเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของภูมิภาคนี้
แม้ Putin จะย้ำว่ารัสเซีย “ไม่ใช่ฝ่ายเริ่ม” แต่ถ้าการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เขาก็ขู่ชัดว่า มอสโกพร้อมจะตอบโต้กลับทั้งต่อยูเครนและแม้แต่เรือของประเทศที่สนับสนุนยูเครนด้วย (Energy Intelligence) ประเด็นนี้เลยพาให้ทั้งยุโรปและตลาดพลังงานโลกต้องตั้งการ์ดกันรัว ๆ เพราะมันเลยจากแค่เรื่องสงครามรัสเซีย–ยูเครน ไปสู่ “สงครามพลังงาน” ที่แท้จริง!
🔥 ปูตินพูดอะไร? ขู่ใคร และเรื่องไหนกันแน่ที่โลกต้องฟัง?
ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด Putin ผูกประเด็นหลักไว้ 3 เรื่องใหญ่ ๆ (Reuters) ซึ่งมันคือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากว่ารัสเซียไม่ยอมอยู่เฉยแน่
-
โทษยุโรปว่า “อยู่ฝั่งสงคราม”: เขามองว่ายุโรปกำลังขัดขวางความพยายามสันติภาพ เพราะยังส่งอาวุธและสนับสนุนยูเครนต่อเนื่อง แถมเสนอเงื่อนไขที่รัสเซียมองว่า “รับไม่ได้” คือรัสเซียต้องถอนกำลังและยอมเสียดินแดนที่ผนวกรวมไปแล้ว (ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในมุมมองของมอสโก)
-
ตอบโต้ออกนอกสนามรบ – มุ่งไปที่เรือและท่าเรือ: Putin ส่งสัญญาณว่าถ้ายังมีการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันหรือโครงสร้างพลังงานของรัสเซียอีก รัสเซียพร้อมจะขยายการโจมตีไปยัง
-
ท่าเรือยูเครน
-
เรือที่เข้า–ออกท่าเรือ ซึ่งรัสเซียมองว่ามีส่วนสนับสนุนยูเครน (โดยเฉพาะเรือพาณิชย์ที่ขนส่งสินค้าเข้าออกทะเลดำ)
-
และถึงขั้นพูดถึง “การตัดยูเครนออกจากทะเล” ซึ่งหมายถึงการปิดทางออกทะเลของยูเครนแบบจริงจัง (Al Jazeera) หรือที่เรียกกันว่า Sea Blockade
-
-
ประกาศชัดว่า “พร้อมทำสงครามกับยุโรป” ถ้ายุโรปเริ่มก่อน: เขาส่งสารว่า รัสเซียไม่ต้องการทำสงครามกับยุโรป แต่ถ้ายุโรปดันทำให้สถานการณ์บานปลายด้วยการ “ตอด” ทรัพย์สินด้านพลังงานของรัสเซีย รัสเซียก็พร้อมตอบโต้ทันที (Reuters)
ทั้งหมดนี้คือ “เกมคำพูด” ที่แรงมากในระดับผู้นำประเทศนิวเคลียร์และเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ KGB เก่า ที่แน่นอนว่าทุกถ้อยคำถูกจับตาในฐานะ “สัญญาณ” ต่อทั้งตลาดพลังงาน การทหาร และการเมืองระหว่างประเทศ
🚢 ทำไม “เรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย” ถึงกลายเป็นจุดเดือด?
การโจมตีในช่วงหลังมักเกี่ยวข้องกับเรือบรรทุกน้ำมันและจุดขนถ่ายในทะเลดำ มีรายงานว่า โดรนทางทะเลของยูเครนโจมตีโครงสร้างบางส่วนของระบบท่อส่งและจุดขนส่งน้ำมันที่เชื่อมรัสเซียกับตลาดโลก เช่น ท่าเทียบเรือของโครงการ Caspian Pipeline Consortium (CPC) ซึ่งขนส่งน้ำมันจำนวนมากจากฝั่งเอเชียกลางไปยังตลาดโลกผ่านทะเลดำ (Energy Intelligence)
สิ่งที่ยุโรปและตลาดโลกกังวลคือ:
-
ถ้าโครงสร้างพลังงานเสียหายหนัก: อาจทำให้ปริมาณน้ำมันส่งออกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบผันผวนแรง ทะลุ $100 ต่อบาร์เรลได้ไม่ยาก
-
ถ้าการตอบโต้ของรัสเซียเกิดขึ้นจริง: หากรัสเซียเล่นงานเรือของประเทศที่สนับสนุนยูเครนจริง ๆ อาจทำให้บริษัทเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ประกาศ “งดใช้เส้นทางทะเลดำ” ค่าเบี้ยประกันภัยเรือ (War Risk Insurance) จะพุ่งสูงปรี๊ด และต้นทุนพลังงานปลายทางในยุโรปก็จะดีดขึ้นอีกเป็นลูกโซ่
พูดง่าย ๆ คือ จากสงครามในยูเครน เริ่มลามไปสู่ “สงครามพลังงานเต็มรูปแบบ” ที่กระทบกระเป๋าสตางค์คนทั้งโลก ไม่ใช่แค่ในสนามรบ
🧐 เบื้องหลัง: เกมการเจรจาสันติภาพที่เดินหน้าไม่ออก
คำขู่ของ Putin ดันเกิดขึ้นในช่วงที่มีตัวแทนจากฝั่งสหรัฐฯ เดินทางไปหารือแผนสันติภาพกับรัสเซียที่มอสโกพอดี โดยมีทั้ง Steve Witkoff และ Jared Kushner ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนทีม Trump เข้าร่วมพูดคุยหลายชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน (The Guardian)
-
รัสเซีย: ต้องการให้แผนสันติภาพกลับไปใช้ “เวอร์ชันที่เอื้อต่อรัสเซียมากกว่า” คือให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดินแดนที่รัสเซียยึดไปแล้ว
-
ยูเครน: ยืนยันไม่ยอมเสียอธิปไตย ทั้งเรื่องดินแดนและความสามารถด้านการทหาร
-
ยุโรป: ไม่อยากให้การเจรจากลายเป็นการ “ให้รางวัลกับการรุกราน” เพราะจะทำให้ประเทศอื่นเอาอย่างได้
สรุปคือ การเจรจายังตัน ๆ และยิ่ง Putin ใช้คำพูดแรงขึ้นเท่าไร บรรยากาศรอบโต๊ะเจรจาก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น นี่คือการใช้ “คำขู่” เป็นเครื่องมือในการต่อรองนั่นเอง
🚨 ความเสี่ยงต่อยุโรป: ไม่ใช่แค่เรื่องรถถัง แต่คือบิลค่าไฟและอากาศหนาว
คำพูดว่า “พร้อมทำสงครามกับยุโรป” ไม่ได้ถูกมองเป็นแค่การขู่เล่น ๆ ความเสี่ยงหลักที่ยุโรปกลัวคือ:
-
ความมั่นคงด้านพลังงาน: ถ้าเส้นทางส่งออกน้ำมัน–ก๊าซจากรัสเซียติดขัด ยุโรปต้องแย่งซื้อน้ำมัน/ก๊าซจากตลาดโลก ทำให้ ต้นทุนพลังงานพุ่งกระฉูด กระทบตั้งแต่โรงงานไปจนถึงบิลค่าไฟของประชาชน
-
โอกาสเกิดเหตุเผชิญหน้าทางทหารโดยไม่ตั้งใจ: ถ้ารัสเซียยิงหรือยึดเรือที่จดทะเบียนในประเทศ NATO ด้วยการอ้างว่า “สนับสนุนยูเครน” ทันทีทันใด จะกลายเป็นชนวนให้ NATO ต้องตอบสนองตาม มาตรา 5 (หลักการป้องกันร่วมกัน) โอกาสที่จะลุกลามเป็นการปะทะโดยตรงระหว่างรัสเซียกับ NATO จะสูงทันที (Wikipedia)
-
แรงกดดันทางการเมืองภายใน: คนในประเทศยุโรปจะเจอค่าครองชีพสูงขึ้น เพราะพลังงานแพง อาจทำให้เสียงวิจารณ์นโยบายช่วยเหลือยูเครนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนรัฐบาลอาจต้องทบทวนการสนับสนุน (The Independent)
🙋♂️ แล้วคนทั่วไปอย่างเราควรอ่านเหตุการณ์นี้ยังไงดี?
แม้จะดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วมันกระทบหลายอย่างแบบวงกว้างมาก
-
สายลงทุน–สายเทรด: ต้องจับตา ราคาน้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ, หุ้นพลังงาน, และค่าเงินที่อ่อนไหวต่อข่าวสงคราม เพราะมีโอกาสเหวี่ยงขึ้นลงรุนแรง
-
คนทำธุรกิจโลจิสติกส์–นำเข้า–ส่งออก: เส้นทางเดินเรือในทะเลดำจะอันตรายขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งและค่าประกันภัยจะเพิ่มขึ้นแน่นอน อาจต้องหาเส้นทางสำรอง (เช่น ทางบกหรือทางคลอง Volga–Don ของรัสเซียเอง)
-
คนทั่วไป: ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และ ค่าไฟฟ้า ที่บ้าน มีโอกาสโดนลูกหลงจากข่าวแบบนี้ได้เสมอ เตรียมใจไว้ก่อนเลยว่าพลังงานอาจแพงขึ้นอีก
ยังไม่มีสัญญาณว่า “สงครามเต็มรูปแบบระหว่างรัสเซียกับยุโรป” จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะไม่มีใครต้องการเห็นการปะทะที่ควบคุมไม่ได้ แต่เกมนี้คือการ “วัดใจ” และ “ขีดเส้นตาย” ในเชิงจิตวิทยาการเมืองระหว่างประเทศอย่างแท้จริง
❓ FAQ – 3 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับคำขู่ล่าสุดของปูติน
| ลำดับ | คำถาม | คำตอบสไตล์คนตามข่าว |
| 1 | ทำไม Putin ถึงต้องเลือกใช้คำพูดแรงระดับ “พร้อมทำสงครามกับยุโรป” เลยล่ะ? | เป็น “เกมกดดัน” ที่ทรงพลังมากค่ะ เขาต้องการส่งสัญญาณไปหลายกลุ่มพร้อมกันว่า รัสเซียไม่ยอมให้ใครมาตอดเรือน้ำมันฟรี ๆ แน่ นอกจากนี้ยังเป็นการ กดดันโต๊ะเจรจาสันติภาพ ให้ฝั่งยูเครนและยุโรปอ่อนข้อลง และยอมรับเงื่อนไขที่รัสเซียได้เปรียบมากขึ้นด้วยค่ะ |
| 2 | ถ้าเรือบรรทุกน้ำมันถูกโจมตีซ้ำแล้วรัสเซียโจมตีเรือพาณิชย์ของ NATO จริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น? | ถ้าเป็นแบบนั้นจริง โอกาสที่ NATO ต้องตอบโต้ก็สูงมาก เพราะเรือพาณิชย์ถือเป็นผลประโยชน์โดยตรงของประเทศสมาชิก เราอาจได้เห็นการ เพิ่มกองเรือรบ เข้าไปคุ้มกันในทะเลดำ และการประชุมฉุกเฉินของ NATO ซึ่งจะทำให้บรรยากาศ “เหมือนอยู่ในสงคราม” ชัดขึ้นทันที แม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงกันแบบเต็มรูปแบบก็ตามค่ะ |
| 3 | ข่าวนี้ส่งผลต่อคนธรรมดาทั่วไปยังไงบ้าง นอกจากเรื่องการเมือง? | ผลลัพธ์ที่ทุกคนจะรู้สึกได้ก่อนคือเรื่อง “เงินในกระเป๋า” ค่ะ โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง, ค่าไฟ, และ ต้นทุนการผลิต/ค่าขนส่งสินค้า เมื่อพลังงานแพงขึ้น ต้นทุนสินค้าอื่นก็มีแนวโน้มขยับตาม ซึ่งสุดท้ายมันจะสะท้อนออกมาในรูปของ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ดังนั้นตามข่าวไว้ดีที่สุดค่ะ |

