วงการเทคโนโลยีสหรัฐฯ กำลังลุ้นระทึก เมื่อผู้พิพากษาในคดีผูกขาดของ Google กำลังพิจารณาทางเลือกในการลงโทษที่ “เบาลง” แทนการสั่งแยกกิจการหรือสั่งเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจแบบรุนแรง โดยคดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ฟ้อง Google ว่าใช้อำนาจเหนือตลาดเสิร์ชเอนจินแบบไม่เป็นธรรม เพื่อกีดกันคู่แข่งและผูกขาดการเข้าถึงข้อมูล
ฝ่าย DOJ ให้เหตุผลว่า Google จ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple และผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เพื่อให้ Google เป็นเสิร์ชเอนจินเริ่มต้นในอุปกรณ์ของพวกเขา ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้อย่างยุติธรรม
แม้ Google จะโต้แย้งว่าผู้ใช้เลือกใช้ Google เพราะ “มันดีกว่า” ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่การพิจารณาคดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเปิดเผยข้อมูลภายในจำนวนมากเกี่ยวกับดีลที่ทำกับพันธมิตร และกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อครองตลาดเสิร์ช
ล่าสุด ผู้พิพากษา Amit Mehta ที่ดูแลคดีนี้ กำลังพิจารณาว่าหาก Google แพ้คดี ควรมีการลงโทษแบบใด โดยหนึ่งในแนวคิดที่ถูกพูดถึง คือการ “ปรับพฤติกรรม” แทนการรื้อระบบทั้งหมด เช่น การสั่งให้ Google ยุติข้อตกลงที่มีลักษณะผูกขาด หรือกำหนดเงื่อนไขที่ต้องเปิดโอกาสให้เสิร์ชเอนจินอื่นเข้าถึงระบบได้มากขึ้น
สิ่งที่ทำให้คดีนี้จับตามองเป็นพิเศษ คือความเป็น “กรณีทดสอบ” สำหรับการควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี หากศาลตัดสินให้ Google ผิดและมีบทลงโทษที่ชัดเจน นี่อาจกลายเป็นต้นแบบของการดำเนินคดีต่อ Amazon, Apple หรือ Meta ในอนาคต
ไม่เพียงแค่เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงแนวทางเศรษฐกิจดิจิทัลในระดับโลก เพราะ Google ไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่ผู้ใช้กว่า 90% เลือกใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหาหลัก
คาดว่าภายในปี 2025 เราจะได้เห็นบทสรุปของคดีนี้ ซึ่งจะสะท้อนว่าโลกเทคโนโลยีสามารถถูกควบคุมได้หรือไม่ และเสรีภาพของตลาดดิจิทัลจะมีทิศทางไปในแบบใดกันแน่