มาแล้ว! ข่าวดีปลอมๆ ที่หลายคนเรียกว่า “ลมหนาวอุ่นๆ” พัดเข้าใส่สงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ สหรัฐฯ กับจีน เมื่อมีการประกาศลดแลกแจกแถมภาษีนำเข้าบางรายการ แถมยังผ่อนปรนเรื่องอื่นๆ นิดหน่อย จนหลายฝ่ายรีบเรียกว่า “trade truce” หรือ “พักรบ”
ฟังดูเหมือนโล่งใจ? อย่าเพิ่ง! ถ้ามองลึกๆ ดีลนี้มันแค่ “พักยกแบบระแวง” ชัดๆ เพราะการต่อสู้ที่แท้จริงไม่เคยหายไปไหน แค่สองฝ่าย “ผ่อนคันเร่ง” ไม่ได้แปลว่า “ถอยออกจากเส้นทางชน”
1. ลมหายใจเฮือกสุดท้าย…ไม่ใช่ทางออก
ไอ้ที่ดีลพักรบนี้มีอะไรบ้าง? สหรัฐฯ ก็ลดภาษีนำเข้าบางส่วน และขยายเวลา “งดเว้น” มาตรการ Section 301 ให้บางอย่างไปก่อน ส่วนจีนก็โชว์ท่าทีเป็นมิตรด้วยการพักการคุมเข้มการส่งออก “แร่หายาก” ไป 1 ปี (แร่สำคัญในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และพลังงานสะอาด) และยอมกลับมาซื้อสินค้าเกษตรอเมริกันมากขึ้น เช่น ถั่วเหลือง
ดูเผินๆ เหมือนจะดี แต่จริงๆ แล้วมันคือ “การอุ่นเครื่องสร้างความเชื่อมั่น” แค่นั้นแหละ เพราะภาษีนำเข้าเฉลี่ยโดยรวมยังอยู่ในระดับสูงปรี๊ดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แถมประเด็นที่มันเป็น “ไพ่ตาย” จริงๆ น่ะ ยังไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ
2. สงครามเทคโนโลยี: ศึกนี้ไม่มีคำว่าถอย
ภาพใหญ่ที่ต้องทำความเข้าใจคือ “ความเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมันฝังลึกเกินกว่าจะแก้ด้วยการลดภาษีถั่วเหลืองสองสามกอง การพักรบครั้งนี้เป็นแค่ “ยุทธวิธีลดความตึงเครียดชั่วคราว” (tactical de-escalation) เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ไปตั้งหลัก
ประเด็นที่ยังเป็นชนวนระเบิด คือ:
- เทคโนโลยีชิปและเซมิคอนดักเตอร์: นี่คือ “คอหอย” ของโลกสมัยใหม่ สหรัฐฯ เดินหน้า “กั้นคอหอย” จีนอย่างเต็มที่ ด้วยการห้ามส่งออกเครื่องจักรและเทคโนโลยีผลิตชิปขั้นสูง (เช่น เครื่องจาก ASML) เพื่อสกัดไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตรงกันข้าม จีนก็ทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาลเพื่อทำให้ตัวเองพึ่งพาตัวเองได้ (self-sufficiency) ตามแผน “Made in China 2025” ศึกนี้มันคือการเดิมพันอำนาจทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว
- กำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และนโยบายอุดหนุนรัฐ: สหรัฐฯ และยุโรปโวยวายหนักมากว่าจีน “อัดฉีด” เงินอุดหนุนรัฐวิสาหกิจและบริษัทในประเทศ จนทำให้เกิด “กำลังการผลิตส่วนเกิน” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้สินค้าจีนราคาถูกแบบน่าตกใจ “ท่วมโลก” และกำลังฆ่าผู้ผลิตในประเทศอื่น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่มันคือการ “บิดเบือนกลไกตลาด” ที่ชาติตะวันตกยอมไม่ได้
ประเด็นเหล่านี้เป็น “วาระยาก” ที่ไม่มีทางเคลียร์กันได้ง่ายๆ ดีลพักรบจึงเป็นแค่ “หน้าต่างโอกาส” ให้นักลงทุนและธุรกิจรีบหายใจเข้าลึกๆ ก่อนระเบิดรอบใหม่จะมา
3. ภัยเงียบที่มากับ NTMs: อย่ามองแค่ภาษี
ที่น่ากลัวกว่าภาษีนำเข้า คือ “มาตรการนอกภาษี” (Non-Tariff Measures – NTMs) เพราะมาตรการเหล่านี้มัน “มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า” และสามารถเปลี่ยนกฎเกมได้เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง NTMs เช่น:
- Export Controls: การคุมการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยัง “Entity Lists” หรือบริษัทที่ถูกแบน
- Rules of Origin (RoO): กฎกำเนิดสินค้าที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ว่าสินค้าต้องผลิตที่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- Data Security/Privacy Laws: กฎหมายความปลอดภัยข้อมูลของแต่ละประเทศที่เข้มงวด ทำให้การถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศทำได้ยากขึ้น
มาตรการเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อซัพพลายเชนทั่วโลก และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้บริษัทต้อง “ย้ายฐาน” (de-risking) หรือ “กระจายความเสี่ยง” (dual-sourcing) อย่างจริงจัง เพราะแค่โดนจัดเข้า Name, Names of Personal Location, Specific ในบัญชีดำเมื่อไหร่ ใบสั่งซื้อก็เป็นโมฆะได้ทันที
4. โอกาสของอาเซียนและ Name, Names of Personal Location, Specific (ประเทศไทย)
ถึงแม้ศึกจะเดือด แต่นี่คือ “โอกาสทอง” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย การที่บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกเริ่มใช้กลยุทธ์ “China+1” (ฐานผลิตในจีน + ฐานผลิตที่อื่นในเอเชีย) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ การย้ายฐานการผลิต ครั้งใหญ่
ประเทศที่ได้เปรียบคือประเทศที่:
- มีกติกาชัดเจน: กฎหมายการลงทุน, สิทธิประโยชน์ (เช่น BOI), และมาตรฐานต่างๆ ต้องโปร่งใส ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
- มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ: ถนน, ท่าเรือ, นิคมอุตสาหกรรม, และที่สำคัญคือ “คน” (แรงงานที่มีทักษะในสายเทคโนโลยีใหม่ๆ)
- มีข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุม: ต้องมีการตกลงเรื่องมาตรฐานดิจิทัลและสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยงจาก NTM shocks ที่อาจเด้งมาจากวอชิงตันหรือปักกิ่ง
ข้อเตือนใจสำหรับธุรกิจไทย: อย่ามองแค่โอกาส จงระวัง “ลูกหลง” ด้วย การกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) คือหัวใจสำคัญ ธุรกิจที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนหรือสหรัฐฯ เจ้าเดียวมากๆ ควรมีแผนสำรอง (stock policy) ที่ยืดหยุ่น และที่สำคัญที่สุด คือต้อง “เกาะติด” ข่าวกฎหมายใหม่ๆ ที่อาจกระทบใบสั่งซื้อโดยตรง
บทสรุป: ใช้ช่วงสงบให้คุ้มค่า
พูดให้ชัดคือ นี่คือ “หน้าต่างผ่อนคลาย” ไม่ใช่ “ทางออกสุดท้าย” ศึกระหว่างสหรัฐฯ-จีน เป็นการแข่งขันระยะยาวที่ขับเคลื่อนด้วยหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศ มันพร้อมจะกลับมา “ร้อนแรง” ได้ตลอดเวลา
ดังนั้น นักธุรกิจและนักลงทุนจึงต้องใช้ช่วง “สงบชั่วคราว” นี้รีบทำการบ้าน: ปรับพอร์ตการลงทุน, กระจายซัพพลายเชน, อัปเดตกฎระเบียบ NTMs ให้ทัน Name, Names of Personal Location, Specific เพื่อเตรียมรับมือกับแรงเสียดทานรอบใหม่ที่อาจมาแบบไม่ทันตั้งตัว อย่าประมาทเด็ดขาด!
FAQs:
ทำไมหลายสำนักมองว่าดีลนี้ “แค่พักรบ” ไม่ใช่ “จบศึก”?
ตอบ: เพราะประเด็นที่มันเป็น “กระดูกสันหลัง” ของความขัดแย้ง—อย่างสงครามเทคโนโลยี, นโยบายอุตสาหกรรมของจีน, การอุดหนุนรัฐ, และปัญหา Overcapacity—ยังไม่ถูกแก้ที่ต้นตอ ข้อตกลงที่ออกมาเลยเป็นแค่ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์สั้นๆ ไม่ใช่การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
ใครได้–ใครเสียในระยะสั้นจากดีลนี้?
ตอบ: ได้: เกษตรกรอเมริกันบางกลุ่ม (ขายถั่วเหลืองได้), ผู้ผลิตทั่วโลกที่ใช้แร่หายากจากจีน (วัตถุดิบไม่ขาดแคลนชั่วคราว) เสีย: ยังไม่มีใครเสียหนักๆ ทันที แต่คนที่ “เสียเปรียบ” คือบริษัทที่ไม่ยอมปรับตัวและไม่กระจายความเสี่ยง เพราะยังไงภาษีเฉลี่ยก็ยังสูงลิ่ว NTMs ก็ยังเพียบอยู่ดี
คนทำธุรกิจในไทย/อาเซียน ควรทำยังไงดี? โอกาสหรือระเบิดเวลา?
ตอบ: มันคือ โอกาสคู่แรงกดดัน! โอกาสคือการดึงฐานผลิตจากกลยุทธ์ “China+1” มาที่ Name, Names of Personal Location, Specific แต่แรงกดดันคือต้องระวังลูกหลงจากมาตรการนอกภาษี (NTMs) ที่สหรัฐฯ/จีนออกใหม่ได้ตลอด บริษัทที่ชนะคือผู้ที่ “รู้เกม” และสามารถปรับกฎระเบียบและซัพพลายเชนของตัวเองให้ยืดหยุ่นและโปร่งใสที่สุด


