ถ้าลองย้อนกลับไปซัก 5-6 ปีก่อน ตอนที่ Foldable Phone หรือมือถือจอพับเปิดตัวมาแรกๆ เชื่อว่าภาพจำของทุกคนคือ “นวัตกรรมล้ำยุคที่ยังไม่พร้อมใช้จริง” เครื่องทั้งหนา ทั้งหนักเหมือนพกอิฐ จอนอกเล็กจนกดอะไรแทบไม่ได้ แถมบานพับก็ดูเปราะบางเหมือนจะพังคามือได้ทุกเมื่อ เจอฝุ่นนิดน้ำหน่อยคือใจเสียแล้ว แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ผู้ผลิตค่ายต่างๆ ซุ่มเก็บฟีดแบ็กไปแก้การบ้านกันหนักมาก จนวันนี้เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า “จุดอ่อนที่เคยเป็นฝันร้ายหายไปเกือบหมดแล้ว” แต่ทำไมเดินไปไหนก็ยังเห็นคนใช้มือถือทรงแท่งแบบเดิมอยู่? คำตอบมันเหลืออยู่แค่เรื่องเดียวจริงๆ ที่ยังเป็นกำแพงสูงชันสำหรับคนทั่วไป
1. สิ่งที่ “ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด” จนลืมภาพจำเก่าๆ ไปได้เลย
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีปี 2025 มันไปไกลมาก สิ่งที่เคยทำให้คนส่ายหน้าในอดีต ถูกแก้ด้วยวิศวกรรมที่ฉลาดขึ้น:
-
บานพับและโครงสร้างที่อึดถึกทน: เดี๋ยวนี้บานพับไม่ได้ก๊องแก๊งแล้ว แบรนด์ส่วนใหญ่พัฒนาวัสดุใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิมแต่เบาลง ทำให้ตัวเครื่อง “บางและเบา” จนเริ่มใกล้เคียงกับมือถือเรือธงปกติ (Flagship) มากขึ้น ไม่ต้องรู้สึกเหมือนพกเครื่องมือช่างอีกต่อไป แถมยังมีกลไกแปรงปัดฝุ่นภายในที่ช่วยป้องกันเศษผงไม่ให้เข้าไปทำลายหน้าจอจากข้างหลังได้ดีมาก (อ้างอิงจาก EE Times Asia)
-
กันน้ำกันฝุ่นที่ไว้ใจได้: เมื่อก่อนจอพับกับน้ำคือศัตรูคู่อาฆาต แต่ตอนนี้มาตรฐานการกันน้ำถูกยกระดับขึ้นมาจนอยู่ในระดับเดียวกับมือถือพรีเมียมทั่วไป จะเจอฝนตกหรือทำน้ำหกใส่ก็ไม่ต้องวิ่งหาถังข้าวสารเหมือนเมื่อก่อน
-
รอยพับ (Crease) ที่เริ่มเนียนตา: ถามว่ารอยพับหายไป 100% ไหม? ตอบเลยว่า “ยัง” แต่มันบางลงจนถ้าไม่สังเกตจริงๆ หรือไม่ได้ส่องกับไฟในมุมที่เป๊ะพอ ก็แทบจะมองไม่เห็นแล้ว เวลาเอานิ้วลากผ่านก็ไม่ได้รู้สึกเป็นร่องลึกเหมือนรุ่นแรกๆ ทำให้การใช้งานลื่นไหลขึ้นเยอะ
-
ซอฟต์แวร์ที่ฉลาดขึ้น: นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เดี๋ยวนี้แอปยอดฮิตเกือบทุกตัวรองรับการแสดงผลแบบจอใหญ่แล้ว การสลับไปมาระหว่างจอนอกและจอในทำได้ไร้รอยต่อ (Seamless) รวมถึงฟีเจอร์การแบ่งจอทำงาน (Multitasking) ที่ทำให้จอพับมีประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่แค่กางออกมาเพื่อความเท่
2. “ราคา” กำแพงสุดท้ายที่ยังพังไม่ได้ง่ายๆ
แม้ฟีเจอร์จะเทพแค่ไหน แต่ราคาคือสิ่งที่ทำให้หลายคน “ชะงัก” อยู่หน้าตู้โชว์ ข้อมูลจาก Engadget ระบุชัดเจนว่าปัญหาเชิงเทคนิคถูกแก้หมดแล้ว เหลือแต่เรื่องค่าตัวนี่แหละที่ยังไม่ยอมลดลงมาอยู่ในจุดที่แมสได้จริงๆ เหตุผลที่มันยังแพงอยู่มี 3 ปัจจัยหลัก:
-
ต้นทุนวัสดุที่สูงเป็น 2 เท่า: จอพับเครื่องหนึ่งประกอบด้วยจอ OLED คุณภาพสูงถึง 2 จอ ไหนจะบานพับที่ซับซ้อนและวัสดุป้องกันหน้าจอหลายชั้นที่ต้องยืดหยุ่นได้แต่ต้องทนรอยขีดข่วนด้วย ต้นทุนเฉพาะส่วนจออย่างเดียวก็แซงมือถือปกติไปไกลแล้ว
-
ความยากในการผลิต (Production Complexity): การผลิตจอพับใช้เวลาและกระบวนการที่ซับซ้อนกว่ามือถือปกติมาก แถมปริมาณการผลิต (Economies of Scale) ยังไม่สูงเท่ามือถือทรงปกติ ทำให้ต้นทุนต่อเครื่องยังกดลงยาก
-
ค่าความเสี่ยงหลังการขาย: เนื่องจากโครงสร้างซับซ้อน แบรนด์จึงต้องบวกค่าประกันความเสี่ยงและการดูแลหลังการขายเข้าไปด้วย เพราะถ้าจอพับพังขึ้นมา ค่าซ่อมมักจะสูงเกือบครึ่งหนึ่งของราคาเครื่องใหม่เสมอ
3. ตัวเลขชี้ชัด คนอยากได้เพิ่มขึ้น แต่ “ติดที่ตังค์”
สถิติจากปี 2025 บอกเราว่าตลาดนี้กำลังโตวันโตคืน ในไตรมาสที่ 3 ยอดส่งมอบมือถือจอพับทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไตรมาสอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มจอพับทรงหนังสือ (Book Style) ที่ยอดขายในบางประเทศพุ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50% (อ้างอิงจาก Samsung Global Newsroom) สิ่งนี้สะท้อนว่าคนเริ่ม “เปิดใจ” และ “เชื่อมั่น” ในคุณภาพแล้ว เหลือแค่รอเวลาให้ราคาเข้าถึงง่ายกว่านี้เท่านั้นเอง
4. ถ้าอยากให้จอพับ “เกิด” จริงๆ ต้องแก้โจทย์ไหนต่อ?
ในมุมมองของผู้ใช้ การที่จอพับจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ได้ แบรนด์ต้องทำให้คนรู้สึกว่า “คุ้มที่จะจ่าย” มากกว่านี้:
-
ราคาต้องขยับลงมาใกล้เรือธงปกติ: ถ้าราคาห่างกันแค่ไม่กี่พัน คนจะกล้าขยับมาเล่นจอพับมากขึ้น
-
ความชัดเจนเรื่องค่าซ่อม: ถ้ามีแพ็กเกจประกันที่ครอบคลุมและราคาไม่แรง จะช่วยลดความกังวล “กลัวทำตก” ได้เยอะ
-
มูลค่าขายต่อ (Resale Value): ตอนนี้ราคาขายมือสองของจอพับร่วงเร็วมาก ถ้าแบรนด์พิสูจน์ได้ว่าเครื่องใช้ได้นาน 4-5 ปีโดยไม่พัง มูลค่าในตลาดมือสองจะดีขึ้นเอง
5. สรุปส่งท้าย: ซื้อตอนนี้เลยดีไหม?
ถ้าถามใจเพื่อน… วันนี้มือถือจอพับ “พร้อมใช้” แล้วครับ มันทน น้ำไม่กลัว ฝุ่นไม่หวั่น และทำงานได้เก่งกว่ามือถือทั่วไปจริง แต่อุปสรรคเดียวคือมันยังเป็น “ของฟุ่มเฟือย” ที่ราคาโดดกว่าสมาร์ตโฟนปกติไปพอสมควร ถ้าคุณเงินถึงและอยากได้ประสบการณ์ใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น—จัดเลยครับไม่ผิดหวัง แต่ถ้าคุณยังมองหาความคุ้มค่าแบบสุดโต่ง มือถือทรงแท่งแบบเดิมยังเป็นเซฟโซนที่ดีกว่าในตอนนี้
FAQ: ตอบคำถามคาใจเรื่องจอพับ
Q1: มือถือจอพับเหมาะกับใครมากที่สุดในปี 2025? A1: เหมาะมากสำหรับสายลุยงาน (Productivity) ที่ต้องเช็กเอกสาร อ่านไฟล์ PDF หรือจดโน้ตไปด้วยดูประชุมไปด้วย รวมถึงคนที่ชอบเสพคอนเทนต์แบบจอใหญ่แต่ไม่อยากพกแท็บเล็ตแยกอีกเครื่อง ถ้าคุณเป็นสายนี้ จอพับคือคำตอบที่ใช่ครับ
Q2: รอยพับตรงกลางจอยังรำคาญตาอยู่ไหม? A2: ในการใช้งานจริง “แทบไม่รู้สึก” ครับ ยิ่งถ้าเปิดแอปที่เป็นพื้นหลังสีสว่างๆ หรือดูหนังเพลินๆ รอยพับจะหายไปจากสายตาเอง จะสังเกตเห็นได้บ้างตอนปิดหน้าจอหรือมองจากมุมด้านข้างที่มีแสงตกกระทบเท่านั้น
Q3: ทำไมราคาเครื่องถึงยังไม่ลดลงมาเท่ามือถือปกติซะที? A3: เพราะการผลิตจอพับมันยากกว่าปกติมากครับ ทั้งเรื่องความละเอียดของบานพับและการซ้อนเลเยอร์หน้าจอที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและต้นทุนวัตถุดิบที่แพงกว่า อีกอย่างคือตลาดจอพับยังถือว่าเป็นกลุ่มเฉพาะ (Niche) เมื่อเทียบกับมือถือปกติ ทำให้แบรนด์ยังไม่สามารถลดราคาสู้ได้เต็มที่

