Tuesday, December 9, 2025
28.6 C
Bangkok

ศึกชิงบัลลังก์สตรีมมิ่ง! Paramount ทุ่มสุดตัว “บุกยึด” Warner Bros. Discovery ตัดหน้า Netflix ในดีล $108,000 ล้าน!

โลกบันเทิงมันส์ไม่แพ้ซีรีส์! เมื่อ Paramount Skydance ตัดสินใจเดินเกมเด็ด กดปุ่ม “บุกเต็มข้อ” ยื่นข้อเสนอซื้ออาณาจักรคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Bros. Discovery (WBD) ด้วยมูลค่าสูงถึง $108.4 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยก็หลักหลายล้านล้านบาท! 🤯) ซึ่งที่พีคคือการเข้าซื้อแบบ hostile takeover หรือ “การเข้าซื้อแบบศัตรู” ที่เลี่ยงการคุยกับบอร์ด แล้วหันไปคุยตรงกับผู้ถือหุ้น WBD ด้วยการเสนอเงินสดล้วนๆ ในราคาที่โคตรจูงใจถึง $30 ต่อหุ้น! (ตามรอย Reuters)

จังหวะนี้คือดราม่าระดับโลก เพราะก่อนหน้านั้น WBD เพิ่งจะเซ็นดีลว่าจะขายส่วนหนึ่งของตัวเองให้กับ Netflix ไปแล้วด้วยมูลค่า $72–83 พันล้านดอลลาร์ ทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็น “ศึกแย่งชิง Warner Bros. Discovery” แบบตัวต่อตัวระหว่าง Netflix และ Paramount ที่บอกเลยว่าเข้มข้นยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูดเรื่องไหนๆ! (Financial Times เค้าว่ามา)

ใครเป็นใครในเกมนี้? เจาะดูขุมกำลังทั้งสองฝั่ง

เกมใหญ่ขนาดนี้ต้องมาทำความรู้จักผู้เล่นกันก่อนว่าแต่ละฝ่ายมีของดีอะไรบ้าง:

  • Warner Bros. Discovery (WBD): คือสตูดิโอเก่าแก่ที่เกิดจากการรวมร่างของ WarnerMedia กับ Discovery ในปี 2022 แม้จะแบกหนี้ก้อนโตราว $50 พันล้านดอลลาร์ จนโครงสร้างการเงินดูเปราะบาง แต่ขุมทรัพย์คอนเทนต์ที่อยู่ในมือคือตำนานล้วนๆ ทั้ง DC, HBO, CNN, Discovery Channel และอีกเพียบ! (SiliconANGLE)

  • Paramount Skydance: เป็นบริษัทที่เพิ่งรวมตัวกันใหม่ระหว่าง Paramount Global กับ Skydance Media มี David Ellison ลูกชายของ Larry Ellison (มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle) เป็นหัวเรือใหญ่ พร้อมเงินทุนสนับสนุนจากคุณพ่ออีกกว่า $6 พันล้านดอลลาร์ พูดง่ายๆ คือเป็น “สตูดิโอใหม่ที่พลังทุนหนามาก” พร้อมลุยตลาดสตรีมมิ่งที่ดุเดือด!

สรุปให้เห็นภาพ: ฝั่ง WBD คือ “สตูดิโอเก๋าแต่หนี้ท่วม มีของดีที่ใครก็อยากได้” ส่วน Paramount คือ “กลุ่มทุนใหม่สายเทคโนโลยีที่พร้อมทุ่มไม่อั้น”

ทำไมต้อง “hostile takeover” มันต่างจากดีลปกติยังไง?

ปกติการซื้อกิจการจะเริ่มจากการเจรจาหวานๆ ผ่านคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ก่อน แต่ Paramount เลือกใช้ยุทธศาสตร์ “tender offer” คือ เสนอซื้อหุ้นตรงจากมือผู้ถือหุ้น WBD เลย ทำให้ดีลนี้ถูกเรียกว่า hostile takeover เพราะมันคือการ “บุกฝ่า” ความต้องการของบอร์ด WBD ที่ตอนนี้ใจไปทางดีลของ Netflix อยู่แล้ว! (SiliconANGLE)

  • เบื้องหลังความเดือด: มีรายงานว่า Paramount เคยพยายามเจรจากับ WBD หลายครั้งตั้งแต่เดือนกันยายน แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี พอ WBD หันไปจริงจังกับ Netflix และประกาศดีลกันในเดือนธันวาคม Paramount เลยจัดหนัก ส่งข้อเสนอไปถึงผู้ถือหุ้นโดยตรง พร้อมโวยว่าบอร์ด WBD อาจจะไม่ได้พิจารณาข้อเสนอของพวกเขาอย่างเป็นธรรมเลย (Reuters)

  • ท่าที WBD ตอนนี้: บอร์ด WBD บอกแค่ว่าจะ “พิจารณาข้อเสนอของ Paramount ตามหน้าที่” แต่ก็ยังแนะนำให้ผู้ถือหุ้นสนับสนุนดีลกับ Netflix อยู่เหมือนเดิม… เรียกว่าต้องดูว่าผู้ถือหุ้นจะเลือก “เงินสดก้อนโต” หรือ “ความมั่นคงกับ Netflix” กันแน่!

เทียบหมัดต่อหมัด: Paramount vs Netflix ใครให้เยอะกว่า?

จุดเปรียบเทียบ Paramount Skydance Netflix
มูลค่าดีล $108.4 พันล้านดอลลาร์ $72–83 พันล้านดอลลาร์
โครงสร้างเงิน เงินสดล้วน $30 ต่อหุ้น (ให้พรีเมี่ยมสูงกว่าราคาตลาดก่อนข่าวถึง 139% และสูงกว่าดีล Netflix ราว $18 พันล้านดอลลาร์) เงินสด + หุ้น Netflix (WBD จะได้เงินสดบางส่วนและหุ้น Netflix บางส่วน)
สิ่งที่ซื้อไป ซื้อทั้งบริษัท (เหมาหมด ทั้งสตูดิโอ, สตรีมมิ่ง, และช่องเคเบิล เช่น CNN, Discovery Channel) เน้นซื้อเฉพาะส่วนสตูดิโอ + สตรีมมิ่ง (เช่น Warner Bros. Studio, HBO, HBO Max) ไม่รวม ช่องเคเบิล
ความเร็วปิดดีล คาดว่าเร็วสุด 10–12 เดือน คาดว่าใช้เวลา 12–18 เดือน (อาจโดนตรวจสอบเข้มข้นกว่าเพราะเป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอยู่แล้ว)

 

เงินมหาศาล $108 พันล้านดอลลาร์ มาจากไหน?

เงินทุนมหาศาลก้อนนี้ไม่ใช่เงินของ Paramount คนเดียว แต่เป็นการ “รวมพลังระดับโลก” ของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่:

  • ตระกูล Ellison: Larry Ellison คือแกนหลักในการสนับสนุน

  • กองทุนยักษ์ใหญ่: ทั้ง Affinity Partners ของ Jared Kushner, กองทุนความมั่งคั่งจากตะวันออกกลางอย่าง PIF (ซาอุฯ) และ QIA (กาตาร์)

  • ธนาคารระดับโลก: Bank of America, Citigroup และ Apollo ช่วยจัดหาเงินกู้รวมๆ กันอีกราว $54 พันล้านดอลลาร์

ดีลนี้คือการรวมพลัง “ทุนอเมริกา + ทุนตะวันออกกลาง + ธนาคารยักษ์” เพื่อให้ได้ WBD มาครองให้ได้เลยทีเดียว! (Financial Times)

ทำไม Paramount ถึงยอมเสี่ยงตายขนาดนี้?

นี่คือยุคที่ “ขนาด” (scale) คือพระเอกในสงครามสตรีมมิ่ง ถ้าใครมีคอนเทนต์เยอะ แพลตฟอร์มแกร่ง ก็จะกุมตลาดได้เปรียบ Paramount มองเกมนี้แบบทะลุปรุโปร่ง:

  1. หยุดยั้ง Netflix: ถ้าปล่อยให้ Netflix ได้ WBD ไปจริง Netflix จะครองตลาดสตรีมมิ่งแบบเหมาเข่ง มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 40%+ ของโลก การแข่งขันก็จะยากขึ้นไปอีกหลายเท่า (SiliconANGLE)

  2. สร้าง “ซูเปอร์สตูดิโอ”: ถ้า Paramount คว้า WBD มาได้ ตัวเองจะกลายเป็น “สตูดิโอยักษ์ใหม่” ที่มีคอนเทนต์โคตรเยอะ ทั้งจาก Warner Bros., HBO, DC, CNN รวมกับของเดิมอย่าง Paramount Pictures, CBS, Nickelodeon ทำให้มีอำนาจต่อรองและฐานผู้ชมที่ใหญ่มากๆ

  3. ลดต้นทุน: Paramount เชื่อว่าดีลนี้จะช่วยให้ลดต้นทุน (synergy) ได้ปีละประมาณ $6 พันล้านดอลลาร์ และสามารถใช้กลยุทธ์ “เพิ่มหนังโรง + รีดประสิทธิภาพต้นทุน” ได้อย่างเต็มที่

แน่นอนว่าการเข้าซื้อด้วยหนี้ก้อนโตก็มาพร้อมความเสี่ยง และความเป็นไปได้ที่จะต้องมีการ “เลิกจ้างพนักงาน” ในอนาคตเพื่อปรับโครงสร้างให้เข้าที่เข้าทางก็มีสูงเช่นกัน (SiliconANGLE)

คนดูหนัง-ซีรีส์ทั่วโลก (รวมทั้งไทย) จะได้รับผลกระทบยังไง?

ถึงดีลนี้จะเกิดขึ้นที่ฮอลลีวูด แต่คนดูอย่างเราก็หนีไม่พ้นผลกระทบนะ!

  • การย้ายบ้านของคอนเทนต์: หนังหรือซีรีส์ที่เราคุ้นเคยที่อยู่บนแพลตฟอร์มหนึ่ง อาจถูกย้ายไปเป็น exclusive ของอีกเจ้า ทำให้เราอาจจะต้อง สมัครหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น ถ้าอยากดูคอนเทนต์ให้ครบ (เช่น คอนเทนต์ HBO/DC อาจไปรวมกับ Paramount+ แทน)

  • ดีล Bundle/แพ็กเกจใหม่: ถ้า Paramount ชนะ อาจได้เห็นแพ็กเกจราคาพิเศษที่รวม Paramount+ กับ HBO Max เข้าด้วยกัน หรือการทำดีลกับผู้ให้บริการมือถือ/เน็ตในไทยแบบที่เราเคยเห็นมาก่อน

  • ราคาที่อาจจะสูงขึ้น: เมื่อผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเหลือไม่กี่เจ้า โอกาสที่ ราคาแพ็กเกจสตรีมมิ่ง จะทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามแบบที่เริ่มเห็นในช่วงหลังๆ ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย

บทสรุปของศึกนี้จะเป็นอย่างไร? 3 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น

  1. Netflix ชนะไปแบบสวยๆ: หน่วยงานกำกับดูแลอนุมัติดีล Netflix-WBD (แม้จะถูกตรวจสอบหนัก) Paramount ถอนตัวหรือไปดีลอื่น Netflix ก็จะกลายเป็น “สัตว์ประหลาดคอนเทนต์” ที่มีคอนเทนต์ทั้งของตัวเองและของ Warner Bros./HBO เต็มมือ

  2. Paramount พลิกล็อกชนะ (Hostile Takeover สำเร็จ): ผู้ถือหุ้น WBD ตัดสินใจรับข้อเสนอ “เงินสดก้อนโต” จาก Paramount บอร์ด WBD อาจจะถูกกดดันอย่างหนัก และเราก็จะได้เห็นการกำเนิดของ “ซูเปอร์สตูดิโอใหม่” ที่รวม Warner Bros. + Paramount เป็นกองทัพคอนเทนต์มหาศาล

  3. ล่มทั้งคู่: หน่วยงานกำกับดูแลมองว่าดีลของทั้ง Netflix และ Paramount ต่างก็สร้างการผูกขาดมากเกินไป ทำให้ดีลยืดเยื้อจน WBD ต้องถอยออกมาหาทางรีสตรัคเจอร์ตัวเอง หรือไปคุยกับผู้เล่นรายอื่นแทน

ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่ในช่วง “เปิดศึกชิงไหวชิงพริบ” ที่ดุเดือดสุดๆ! บทสรุปของอาณาจักรคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่จะเป็นอย่างไร คอหนัง-ซีรีส์ และนักลงทุนทั่วโลกต้องรอดูไปพร้อมกัน!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับดีล Warner Bros. Discovery

1. hostile takeover คืออะไร? แล้วมันต่างจากซื้อกิจการปกติยังไง? A: hostile takeover คือการเข้าซื้อกิจการที่ “บอร์ดบริษัทเป้าหมายไม่เห็นด้วย” หรือไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร ผู้เข้าซื้อจะใช้วิธี “tender offer” คือการ เสนอซื้อหุ้นตรงกับผู้ถือหุ้น หรือพยายามเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้ดีลผ่าน กรณีของ Paramount ถือเป็นแบบ “ศัตรู” เพราะพวกเค้าไปยื่นข้อเสนอถึงผู้ถือหุ้น WBD โดยตรง ทั้งที่บอร์ด WBD ยังคงแนะนำดีลของ Netflix อยู่

2. ทำไม Warner Bros. Discovery ถึงกลายเป็นเป้าหมายที่ใครๆ ก็อยากแย่งชิง? A: เพราะ WBD คือ “ขุมทรัพย์คอนเทนต์ระดับท็อป” ของฮอลลีวูด มีทั้ง Warner Bros. Studio, HBO, DC Comics, CNN, Discovery Channel ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันก็มี ภาระหนี้สินมหาศาล จากดีลควบรวมก่อนหน้า ทำให้บริษัทต้องหาทางลดหนี้และเพิ่มความคล่องตัว การขายกิจการจึงเป็นทางเลือกที่ช่วย “ปลดหนี้” และสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นได้ในเวลาเดียวกัน (SiliconANGLE)

3. ควรจับตาดูอะไรเป็นพิเศษในดีลนี้? และจะรู้ผลเมื่อไหร่? A: ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงต้นเกม ผลสุดท้ายอาจจะใช้เวลาอีกเป็นปี ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาดูคือ:

  • ท่าทีของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ WBD: พวกเขาจะเอนเอียงไปทาง “เงินสดล้วนก้อนใหญ่” ของ Paramount หรือ “ความมั่นคง” ในระยะยาวกับ Netflix?

  • สัญญาณจากหน่วยงานกำกับดูแล: คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐฯ (FTC) และหน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป จะมองว่าดีลไหนสร้างการผูกขาดในตลาดสตรีมมิ่งและคอนเทนต์มากเกินไป?

  • ปฏิกิริยาของคู่แข่ง: Disney, Amazon Prime Video หรือผู้เล่นรายอื่น จะออกหมัดอะไรสวนกลับเพื่อรักษาฐานที่มั่นของตัวเองหรือไม่?

อัพเดท! ก่อนใคร

เรื่องราวเจ๋งๆ ล้ำๆ สดใหม่ถึงคุณโดยตรงเพียงแค่กรอก Email ไว้เท่านั้น

This field is required.

รายละเอียดเงื่อนไขที่ privacy policy.

Hot this 48 hr.

Red Alert 2 กลับมาแล้ว! เล่นบนเว็บได้เลย ไม่ต้องลงเกม ไม่ต้องวุ่นวาย ย้อนวันวาน Y2K สไตล์รถถังยิงฝน!

ถ้าพูดถึงเกมวางแผนเรียลไทม์ (RTS) ยุค 2000 ที่โคตรจะคลาสสิกและ "เวอร์วังอลังการ" ชื่อแรก ๆ ที่เกมเมอร์ยุคนั้นนึกถึงคือ...

OpenAI กด “Code Red”! เร่งส่ง GPT-5.2 ชน Gemini 3 ศึกเดือดวัดกันที่ “ความเนียน” ไม่ใช่แค่ “ความหวือหวา”

การแข่งขันในโลก AI ตอนนี้มันยิ่งกว่ารถแข่ง Formula 1 ที่เปลี่ยนยางทุกไม่กี่สิบโค้ง! หลังจากที่ Google ปล่อย...

ช็อกวงการ! Google & Apple จับมือกันจริงจัง ทำให้ “การย้ายค่ายมือถือ” ง่ายขึ้นแบบโคตรเนียน ไม่ต้องปวดหัวอีกต่อไป!

Google กับ Apple สองคู่แข่งตลอดกาลที่ปกติแข่งกันไฟแลบ อยู่คนละฝั่งค่ายมือถือ คราวนี้ดันหันมาจับมือกันแบบจริงจัง ชนิดที่หลายคนถึงกับอึ้ง! เป้าหมายคือ ทำให้การย้ายข้อมูลระหว่าง...

กรี๊ด! G-Class Cabriolet รุ่นใหม่ 4 ประตูเปิดประทุน สายลุยสุดไอคอนิกกำลังจะกลับมา (พร้อมลุ้นรุ่นไฟฟ้า!)

ถ้าพูดถึง SUV ที่โคตรจะไอคอนิก ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ชื่อของ Mercedes G-Class หรือที่เรียกติดปากว่า G-Wagen...

เกิดอะไรขึ้นกับ Ford? Mustang ขายดีจน EV ทั้งค่ายหน้าซีด!

ยอดขาย Ford Mustang เดือนพฤศจิกายนเด้งกลับ! แต่สาย EV กลับร่วงหนัก เกิดอะไรขึ้นกับ Ford...

Topics

Meta ยอมถอย! Facebook/IG ในยุโรป “เลือกแชร์ข้อมูลน้อยลง” ได้แล้ว! เรื่องใหญ่กว่าที่คิด คนไทยต้องรู้เพราะเป็นสัญญาณล่วงหน้า!

ช่วงนี้วงการดิจิทัลเดือดจริงอะไรจริง! โดยเฉพาะเรื่อง "ความเป็นส่วนตัว" (Privacy) ของพวกเราผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ รอบนี้ถึงคิวพี่ใหญ่อย่าง Meta (เจ้าของ...

ช็อกวงการ! Google & Apple จับมือกันจริงจัง ทำให้ “การย้ายค่ายมือถือ” ง่ายขึ้นแบบโคตรเนียน ไม่ต้องปวดหัวอีกต่อไป!

Google กับ Apple สองคู่แข่งตลอดกาลที่ปกติแข่งกันไฟแลบ อยู่คนละฝั่งค่ายมือถือ คราวนี้ดันหันมาจับมือกันแบบจริงจัง ชนิดที่หลายคนถึงกับอึ้ง! เป้าหมายคือ ทำให้การย้ายข้อมูลระหว่าง...

OpenAI กด “Code Red”! เร่งส่ง GPT-5.2 ชน Gemini 3 ศึกเดือดวัดกันที่ “ความเนียน” ไม่ใช่แค่ “ความหวือหวา”

การแข่งขันในโลก AI ตอนนี้มันยิ่งกว่ารถแข่ง Formula 1 ที่เปลี่ยนยางทุกไม่กี่สิบโค้ง! หลังจากที่ Google ปล่อย...

กรี๊ด! G-Class Cabriolet รุ่นใหม่ 4 ประตูเปิดประทุน สายลุยสุดไอคอนิกกำลังจะกลับมา (พร้อมลุ้นรุ่นไฟฟ้า!)

ถ้าพูดถึง SUV ที่โคตรจะไอคอนิก ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ชื่อของ Mercedes G-Class หรือที่เรียกติดปากว่า G-Wagen...

Related Articles

Popular Categories

spot_img