Wednesday, October 29, 2025
28.9 C
Bangkok

"สงครามยังไม่จบอย่างเพิ่งนับศพทหาร" การเริ่มต้นสงครามระหว่าง Apple และ Samsung

สงครามระหว่าง Apple และ Samsung ในปัจจุบันโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟน เป็นที่นิยมของผู้คนโดยทั่วไปจากการที่มีความสามารถในการทำงานได้หลากหลาย นอกจากการใช้งานด้านเสียง (Voice) ที่กลายเป็นสิ่งพื้นฐานไปแล้ว ยังสามารถรับส่งข้อมูล (Data) ในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวหรือเพลงจำนวนมากอีกด้วย และเป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน รายใหญ่ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในขณะนี้ก็คือยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติเกาหลีใต้ที่ชื่อว่าซัมซุง (Samsung) กับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติอเมริกันที่ชื่อว่า แอปเปิล (Apple) นั่นเอง ที่ว่าเป็นการแข่งขันกันอย่างดุเดือด คงจะมิได้เป็นสิ่งที่เกินเลยความจริง เพราะนอกจากจะแข่งขันกันในด้านรูปแบบและยอดขายแล้ว ทั้งแอปเปิลและซัมซุงต่างก็มีข้อพิพาทเป็นคดีความกันในศาลของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศาลแห่งกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ศาลมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ศาลแขวงกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องว่าอีกฝ่ายหนึ่งละเมิดสิทธิบัตรทั้งด้านการผลิตและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของตนเอง และส่งผลกระทบต่อยอดขาย ในสหรัฐอเมริกา ศาลมลรัฐแคลิฟอร์ เนียตัดสินว่าซัมซุงละเมิดสิทธิบัตรในระบบการย้อนกลับไปดูข้อมูลตอนต้น (Bounce-back) ของแอปเปิลในอุปกรณ์ทุกรุ่น และละเมิดสิทธิบัตรระบบสัมผัสจอภาพแบบ Multi-touch และระบบการขยาย (Pinch-to-Zoom ) ในโทรศัพท์ซัมซุงรุ่น Ace, Intercept และ Replenish และยังระบุว่าซัมซุงละเมิดกฎหมายผูกขาดทางการค้า (Antitrust Law) เรื่องมาตรฐานเครือข่าย UMTS การละเมิดสิทธิบัตรของซัมซุงยังส่งผลกระทบต่อยอดขาย ไอโฟน ของแอปเปิล โดยศาลมลรัฐแคลิฟอร์เนียพิพากษาให้ซัมซุงจ่ายค่าเสียหายให้แอปเปิลประมาณ 1,051 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 40% ของค่าเสียหายที่แอปเปิลเรียกร้องในตอนแรก (ประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จนภายหลังคำตัดสินของศาลในสหรัฐอเมริกา ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ซัมซุงยอมจ่ายค่าเสียหายที่ศาลกำหนด โดยจ่ายเงินค่าเสียหาย 1,051 ล้านดอลลาร์เป็นเหรียญ 5 เซนต์ ใส่รถบรรทุกขนาดใหญ่กว่า 30 คัน มาชำระให้ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทแอปเปิลในรัฐแคลิฟอร์เนีย แม้ซัมซุงจะแพ้คดีในสหรัฐอเมริกา แต่ในญี่ปุ่นผลคำตัดสินของศาลกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ศาลประเทศญี่ปุ่นพิพากษายกฟ้องแอปเปิลที่เป็นโจทก์ฟ้องว่า ซัมซุงละเมิดสิทธิบัตร และขโมยเทคโนโลยีส่งผ่านไฟล์เพลงและวิดีโอระหว่างอุปกรณ์ รวมถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยศาลเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของซัมซุงไม่ได้ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล และนอกจากยกฟ้องแอปเปิลแล้ว ยังตัดสินให้แอปเปิลจ่ายค่าธรรมเนียมศาลให้ซัมซุงอีกด้วย ส่วนในเกาหลีใต้ศาลพิพากษาว่าทั้งแอปเปิลและซัมซุงต่างฝ่ายต่างละเมิดสิทธิบัตรในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยศาลพิพากษาให้แอปเปิลใช้ค่าเสียหายให้ซัมซุง 40 ล้านวอน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ขณะที่ซัมซุงต้องใช้ค่าเสียหายให้แอปเปิลเป็นเงิน 25 ล้านวอน หรือประมาณ 750,000 บาท จากกรณีพิพาทระหว่างแอปเปิลและซัมซุง มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่มองเห็นได้คือทั้งแอปเปิลและซัมซุงมักจะเป็นฝ่ายชนะคดีในประเทศที่ตนเองมีฐานการผลิต ซึ่งทำให้มองได้ว่าการตัดสินของศาลประเทศใดก็มีแนวโน้มที่จะให้ความคุ้มครองในสิทธิและผลประโยชน์แก่คนชาติเดียวกันกับตนเอง ทำให้เห็นได้ว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลในต่างประเทศ เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินข้อพิพาทที่มีผลประโยชน์ของชาติตนเองเป็นเดิมพันแล้ว ศาลก็มิได้ใช้เพียงหลักการทางนิติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปเท่านั้น แต่ในคำพิพากษายังแฝงไปด้วยมุมมองหรือทัศนะในทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมของผู้ที่เป็นผู้พิพากษาอยู่ด้วย อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่อาจเป็นไปได้ในวันข้างหน้าก็คือ หากข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่เกิดมีกรณีที่มากขึ้นหรือขยายตัวออกไป อาจมีความจำเป็นที่ต้องมีการจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ (International Intellectual Property Court) เพื่อที่จะได้เป็นศาลกลางในการวินิจฉัยข้อพิพาททางทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคู่กรณีเป็นบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่อไปก็เป็นได้ หันมามองในประเทศไทยก็ถือว่ายังคงโชคดีที่ทั้งแอปเปิลและซัมซุงยังไม่มีข้อพิพาทขึ้นในประเทศไทย สาเหตุอาจเป็นเพราะตลาดสมาร์ทโฟนของไทยแม้จะมีการขยายอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง แต่ก็ยังเป็นตลาดที่เล็กเมื่อเทียบกับอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้คนไทยยังสามารถเลือกหรือตัดสินใจได้ว่าจะใช้สินค้ายี่ห้อใดโดยไม่ถูกจำกัดให้ใช้ได้บางยี่ห้อเหมือนในบางประเทศที่มีคำสั่งศาลห้ามขายสินค้าของฝ่ายที่แพ้คดีเท่านั้น สงครามครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นเราคงต้องรอดูตอนจบกันต่อไป. [code] Data: http://www.dailynews.co.th/technology/156812 Images: http://thedrilldown.com/wp-content/uploads/2012/08/Apple-vs-Samsung-beatdown2-e1346341423696.png [/code]

อัพเดท! ก่อนใคร

เรื่องราวเจ๋งๆ ล้ำๆ สดใหม่ถึงคุณโดยตรงเพียงแค่กรอก Email ไว้เท่านั้น

This field is required.

รายละเอียดเงื่อนไขที่ privacy policy.

Hot this 48 hr.

รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ คืออะไร? ทำไมถึงกระทบไปทั่วโลก

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์” (U.S. Government Shutdown) ผ่านตามสื่อต่างประเทศ หรือแม้แต่ในข่าวเศรษฐกิจที่ไทยเองก็ยังรายงานบ่อยๆ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจจริงๆ...

ข่าวลือ Samsung Galaxy S26 Pro อาจตาม iPhone 17 ไม่ทัน? จุดที่น่าห่วงกับสิ่งที่ยังพอลุ้นได้

หลังงานเปิดตัว iPhone 17 ต้นสัปดาห์นี้ กระแสข่าวฝั่ง Samsung ก็ร้อนแรงตามมาติด ๆ ว่า...

ดีล TikTok สไตล์ Trump: สัดส่วนนักลงทุนสหรัฐฯ ครองราว 80% เกมใหม่ของอัลกอริทึม–ดาต้า–คอนเทนต์

ดีลใหญ่ของ TikTok ในสหรัฐฯ กลายเป็น “หนังภาคต่อ” ที่ยืดเยื้อข้ามปี จนล่าสุดมีความคืบหน้าชัดเจนว่าโมเดลใหม่จะให้ “กลุ่มนักลงทุนสหรัฐฯ” เข้ามาถือควบคุมกิจการในสัดส่วน...

Topics

รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ คืออะไร? ทำไมถึงกระทบไปทั่วโลก

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์” (U.S. Government Shutdown) ผ่านตามสื่อต่างประเทศ หรือแม้แต่ในข่าวเศรษฐกิจที่ไทยเองก็ยังรายงานบ่อยๆ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจจริงๆ...

ดีล TikTok สไตล์ Trump: สัดส่วนนักลงทุนสหรัฐฯ ครองราว 80% เกมใหม่ของอัลกอริทึม–ดาต้า–คอนเทนต์

ดีลใหญ่ของ TikTok ในสหรัฐฯ กลายเป็น “หนังภาคต่อ” ที่ยืดเยื้อข้ามปี จนล่าสุดมีความคืบหน้าชัดเจนว่าโมเดลใหม่จะให้ “กลุ่มนักลงทุนสหรัฐฯ” เข้ามาถือควบคุมกิจการในสัดส่วน...

Related Articles

Popular Categories

spot_img