ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แบบนี้ นักลงทุนหลายคนอาจจะเริ่มถอนคันเร่ง เตรียมตัวไปพักผ่อน แต่รู้ไหมครับว่าในโลกของตลาดการเงิน มันจะมี “หุ่นยนต์” หรือกองทุนเชิงระบบที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่มีวันหยุด และที่สำคัญคือพวกนี้ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกครับ ล่าสุด Bank of America (BofA) เพิ่งออกมาส่งสัญญาณเตือนแกมปลอบใจว่า ในระยะสั้นนี้แรงเทขายแบบ “โดนบังคับ” (Forced Selling) จากกองทุนกลุ่ม CTAs ยังดูไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่เงื่อนไขเดียวคือ “ห้ามร่วงไปมากกว่านี้” นะ!
CTAs คือใคร? ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อพอร์ตเราขนาดนี้
ก่อนจะไปดูบทวิเคราะห์ เรามาทำความรู้จักตัวละครหลักอย่าง CTAs (Commodity Trading Advisors) กันก่อนครับ กลุ่มนี้คือกองทุนประเภท Trend Following หรือพวกที่เทรดตามแนวโน้ม โดยใช้โมเดลคอมพิวเตอร์และอัลกอริทึมในการตัดสินใจ 100% พวกเขาไม่ได้มานั่งอ่านข่าวว่า Fed จะพูดอะไร หรือเศรษฐกิจจะดีไหม แต่เขาดูแค่ “ราคา” และ “ความผันผวน” (Volatility) เป็นหลัก
สิ่งที่ทำให้คนกลัว CTAs คือเวลาตลาดขาลงไปถึงจุดหนึ่ง โมเดลจะสั่งให้ “ขาย” ทันทีเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งพอกองทุนยักษ์ใหญ่หลายๆ กองสั่งขายพร้อมกันด้วยระบบอัตโนมัติ มันจะเกิดอาการ “รุมกินโต๊ะ” ทำให้ราคาหุ้นดิ่งเหวรวดเร็วกว่าปกติที่เราเรียกว่า Forced Deleveraging นั่นเองครับ
BofA บอกว่า “ยังรอด” แต่ต้องระวัง “ญี่ปุ่น” เป็นพิเศษ
จากการประเมินล่าสุดของ BofA พบว่าภาพรวมการถือครองหุ้นทั่วโลก (Positioning) ตอนนี้ค่อนข้าง “ตึงมือ” หรือแปลว่าคนถือหุ้นไว้เยอะมากแล้ว แต่ข่าวดีคือโมเดลส่วนใหญ่ยังไม่สั่งให้ขายทิ้งในตอนนี้ครับ
-
สหรัฐฯ และยุโรป: ยังมี “Buffer” หรือระยะห่างจากจุดตัดขายอยู่พอสมควร แถมถ้าความผันผวน (Realized Volatility) ลดลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติของช่วงวันหยุดปลายปี โมเดลพวกนี้อาจจะขยับเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มด้วยซ้ำ
-
ญี่ปุ่น (Nikkei 225): อันนี้คือ “จุดตาย” ที่ BofA ย้ำเตือนครับ เพราะดัชนีหุ้นญี่ปุ่นเพิ่งร่วงลงมา และตอนนี้เหลือระยะห่างอีกแค่ประมาณ 2.2% เท่านั้นก็จะถึง “เส้นแดง” (Trigger Level) ถ้า Nikkei ร่วงต่ออีกนิดเดียว กองทุนระบบอาจจะเริ่มเทขายถล่มทลายได้ทันที ใครมีหุ้นญี่ปุ่นต้องเฝ้าหน้าจอให้ดีครับ
เจาะลึกตลาดบอนด์ ค่าเงิน และสินค้าโภคภัณฑ์: เทรนด์กำลังเปลี่ยน?
ไม่ใช่แค่หุ้นนะครับที่ต้องระวัง BofA ยังกางแผนที่สินทรัพย์อื่นๆ ให้เราเห็นภาพกว้างขึ้นด้วย:
-
ตลาดตราสารหนี้ (Bonds): แม้ช่วงนี้บอนด์ยีลด์ (Yield) จะปรับตัวลง แต่โมเดลเริ่มมองว่าราคาฟิวเจอร์สอาจจะอ่อนแรงลงในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจกระตุ้นให้พวก Trend Followers เริ่มปล่อยของออกมาได้ โดยเฉพาะในตลาดฝั่งเกาหลี (KTB) และเยอรมนี (Bunds) ที่มีสถานะการถือครองค่อนข้างสุดโต่ง
-
ค่าเงิน (FX): ดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่ามาตลอดสัปดาห์ เริ่มส่งสัญญาณ “เหนื่อย” โมเดลของ CTAs บ่งชี้ว่าสัปดาห์หน้าอาจมีการสลับไปถือเงินสกุลอื่นแทน เช่น Euro, Pound, AUD และ CAD ในขณะที่ฝั่ง Yen และ Mexican Peso ยังคงโดนกดดันในเชิงสถานะ (Positioning)
-
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity): * สายเขียว (Soybean): อันนี้โดนขายยับครับ โมเดลสั่ง Stop Out หรือตัดขาดทุนฝั่งซื้อไปเรียบร้อยแล้ว และน่าจะมีแรงขายตามมาอีก
-
สายโลหะ (Gold & Silver): ยังดูดีอยู่ครับ กองทุนส่วนใหญ่ยังถือสถานะ Long หรือฝั่งซื้อไว้อย่างเหนียวแน่น และมีความเป็นไปได้ว่า Copper (ทองแดง) จะเป็นรายต่อไปที่มีแรงซื้อเพิ่มในระยะสั้น
-
สรุปบทเรียน: ความนิ่งที่อาจหลอกตา
คำว่า “ยังไม่น่าห่วง” ของ BofA ไม่ได้หมายความว่าเราจะประมาทได้นะครับ เพราะสภาพคล่อง (Liquidity) ในช่วงปลายปีมัน “บาง” มาก การซื้อขายเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้ราคากระชากได้แรง และถ้าบังเอิญไปเตะปลั๊กของโมเดล CTAs เข้าพร้อมๆ กัน พอร์ตเราอาจจะสะเทือนได้แบบไม่ทันตั้งตัว
สิ่งที่นักลงทุนควรทำ: จับตาดูระดับ Trigger Level ของดัชนีสำคัญ (โดยเฉพาะญี่ปุ่น) และดูค่าความผันผวน (VIX Index) ถ้าสองอย่างนี้พุ่งสวนทางกันเมื่อไหร่ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่บอกว่า “ระบบ” กำลังจะทิ้งของใส่ตลาดครับ!
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CTAs และแรงเทขายอัตโนมัติ
Q1: ทำไมเราต้องสนใจกองทุน CTAs ในเมื่อเราลงทุนหุ้นรายตัว? A1: เพราะ CTAs ใช้ Leverage (เงินกู้ยืม) สูงและเทรดผ่านสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีหลักครับ เวลาพวกเขาสั่งขายพร้อมกัน มันจะกดดันราคาหุ้นทั้งกระดาน ไม่ว่าหุ้นที่คุณถือจะพื้นฐานดีแค่ไหน แต่ถ้าดัชนีใหญ่โดนถล่มขาย หุ้นรายตัวก็มักจะร่วงตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
Q2: “Forced Selling” จะเกิดขึ้นตอนไหน มีจุดสังเกตไหม? A2: มักจะเกิดขึ้นเมื่อ “ราคาหลุดแนวรับสำคัญ” พร้อมกับ “ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น” ครับ โมเดลพวกนี้ถูกตั้งโปรแกรมมาว่า ถ้าความเสี่ยงเกินขีดจำกัด ต้องลดขนาดพอร์ตทันทีโดยไม่สนข่าวสาร ดังนั้นถ้าเห็นตลาดร่วงแรงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นฝีมือของกองทุนระบบเหล่านี้
Q3: ช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสและปีใหม่ มีผลต่อเรื่องนี้อย่างไร? A3: ปกติช่วงนี้วอลุ่มการซื้อขายจะน้อย (Liquidity บาง) ทำให้ตลาดดูเหมือนนิ่งสงบ แต่ในทางกลับกัน ความบางของตลาดนี่แหละที่เป็นดาบสองคม เพราะถ้ามีแรงขายออกมาเพียงเล็กน้อย มันจะทำให้ราคาวิ่งไปได้ไกลกว่าปกติ และอาจไปแตะจุด Trigger ของระบบได้ง่ายขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติครับ

