หลังจากที่ Donald Trump ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป ทำให้หลายค่ายรถยนต์เริ่มแสดงท่าทีตอบโต้กันแบบชัดเจน และเริ่มมีผลต่อแผนการผลิต-การนำเข้ารถยนต์ในตลาดอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด บางเจ้าถึงขั้นชะลอการลงทุน ส่วนบางเจ้าก็ใช้โอกาสนี้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นเลยด้วยซ้ำ
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ ทรัมป์ต้องการกระตุ้นการผลิตภายในประเทศให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยใช้ “ภาษี” เป็นแรงกดดันให้ค่ายรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐอเมริกา แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะการย้ายฐานหรือการเปลี่ยนแผนผลิตมันต้องใช้ทั้งเวลาและเงินลงทุนมหาศาล
หลายค่ายรถยนต์ระดับโลกไม่ได้นิ่งเฉย Toyota, BMW, Volkswagen, Hyundai และ Honda ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการนี้ เพราะมองว่าเป็นการบั่นทอนเสรีภาพทางการค้าและส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ราคารถพุ่งขึ้นถึง 10-20% โดยเฉพาะรุ่นนำเข้า
สำหรับ Toyota ที่มีโรงงานหลายแห่งในสหรัฐ ก็ยังคงเน้นว่าเขาสนับสนุนการจ้างงานในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ภาษีมาเป็นเครื่องมือบีบบังคับ เพราะอาจกระทบทั้งระบบซัพพลายเชน และยังทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแผนระยะยาว
ฝั่งของ Tesla และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นอย่าง Rivian และ Lucid แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมากนัก แต่ก็เริ่มพูดถึงความเสี่ยงต่อซัพพลายชิ้นส่วน โดยเฉพาะแบตเตอรี่และชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีน ซึ่งอาจโดนผลกระทบเป็นลูกโซ่
ค่ายยุโรปอย่าง BMW และ Mercedes-Benz ซึ่งมีโรงงานประกอบรถยนต์ในสหรัฐ ก็เริ่มทบทวนแผนระยะยาวว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการลงทุนต่อในตลาดอเมริกา หรือควรหันไปมุ่งตลาดในเอเชียมากขึ้นแทน เพราะนโยบายภาษีของสหรัฐที่ไม่แน่นอน
ฝั่งรัฐบาลต่างประเทศอย่างเยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเชิงการทูต เพื่อกดดันให้รัฐบาลสหรัฐยกเลิกหรือเจรจาต่อรองเงื่อนไขภาษีให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะภาษีเหล่านี้ไม่เพียงกระทบแค่ค่ายรถ แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ผลกระทบอีกด้านหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นคือ “การตอบโต้ทางภาษี” จากประเทศอื่นที่ไม่พอใจ ทำให้มีโอกาสที่สหรัฐจะเจอภาษีเพิ่มจากฝั่งยุโรปหรือเอเชียกลับมาด้วย ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมราคาสินค้าต่างๆ ภายในประเทศ และอาจทำให้ผู้บริโภคสหรัฐต้องรับภาระมากขึ้นกว่าเดิม
สรุปคือ โลกของอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ครั้งใหญ่อีกครั้ง และการเมืองก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของทั้งการผลิต การค้า และการลงทุน หากนโยบายภาษียังไม่มีความชัดเจนหรือมีการปรับเปลี่ยนบ่อยๆ ย่อมทำให้ทุกฝ่ายอยู่ในสภาวะที่ต้อง “ระวังตัว” และวางแผนรับมืออย่างรอบคอบมากขึ้นแน่นอน