ยอดขาย Ford Mustang เดือนพฤศจิกายนเด้งกลับ! แต่สาย EV กลับร่วงหนัก เกิดอะไรขึ้นกับ Ford กันแน่?
ใครที่คิดว่ายุคของรถสปอร์ตเครื่องยนต์น้ำมันอย่าง Ford Mustang ใกล้จะจบสิ้นแล้วล่ะก็ ข่าวล่าสุดจากฝั่ง Ford ในสหรัฐฯ อาจทำให้ต้องคิดใหม่! เพราะรายงานยอดขายในเดือนพฤศจิกายน 2025 นั้น ช็อควงการเอามาก ๆ เลยค่ะ! ยอดขายของตำนาน Mustang เครื่องยนต์สันดาปพุ่งขึ้นสวย ๆ ในขณะที่พี่น้องฝั่งรถไฟฟ้า (EV) ของค่ายอย่าง Mustang Mach-E, F-150 Lightning และ E-Transit กลับร่วงหนักจนน่าใจหาย เล่นเอาสถานการณ์ตอนนี้กลายเป็น “ฝั่งน้ำมันยิ้ม ฝั่งไฟฟ้าเครียด” ไปตาม ๆ กัน (ข้อมูลจาก Motor1.com และ Reuters)
บทความนี้จะพามาเจาะลึกตัวเลขแบบเข้าใจง่าย พร้อมวิเคราะห์เจ็บ ๆ ว่าทำไม Mustang ถึงยังฮอตไม่เลิก และทำไมกลยุทธ์ EV ของ Ford ถึงเจอทางตันในช่วงปลายปีนี้ และที่สำคัญ มันสะท้อนภาพรวมอะไรบางอย่างที่สำคัญมากเกี่ยวกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เราควรรู้ไว้ด้วย
📊 ตัวเลขเล่าเรื่อง: Mustang คันเดียว เกือบขายเท่า EV ทั้งค่าย!
มาดูไฮไลต์ที่น่าตกใจที่สุดก่อนเลยค่ะ! ตามรายงานยอดขายของ Ford เดือนพฤศจิกายน 2025 มีตัวเลขที่ทำให้หลายคนแทบไม่เชื่อสายตา (Motor1.com):
-
Ford Mustang (เครื่องยนต์น้ำมัน): ขายได้ประมาณ 4,207 คัน ในเดือนพฤศจิกายน
-
รถ EV ทั้ง 3 รุ่นของ Ford (Mach-E, Lightning, E-Transit): ขายได้รวมกันแค่ 4,247 คัน
แปลภาษาคนง่าย ๆ คือ: Mustang รถสปอร์ตที่หลายคนมองว่าตกยุคไปแล้วคันเดียว! ยอดขายกลับตามหลัง EV ทั้งค่ายที่ Ford ทุ่มทุนสร้างมาแค่หลักสิบกว่าคันเท่านั้น! มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่าดีมานด์ของ EV กำลังแผ่วลงอย่างแรงในช่วงนี้
ถ้ามองยอดรวมทั้งปี (สะสมจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2025):
| รุ่นรถ | ยอดสะสมปี 2025 | อัตราการเปลี่ยนแปลง (เทียบกับปีก่อน) |
| Ford Mustang | ~40,870 คัน | ลดลง -1.6% |
| Mustang Mach-E | ~47,882 คัน | เติบโต +6.7% |
| F-150 Lightning | ~25,583 คัน | ลดลง -9.6% |
| E-Transit | ~5,091 คัน | ดิ่งหนัก -56.1% |
จะเห็นว่าแม้ EV รวมทั้งปียังขายได้มากกว่า แต่ Mustang ก็ตามมาติด ๆ แถมที่น่ากังวลคือ โมเมนตัมของ EV กำลังชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงปลายปี
🏆 ทำไม Mustang ยังรอด? ในยุคที่สปอร์ตคาร์ทยอยเลิกผลิต!
ในตลาดรถสปอร์ตอเมริกันตอนนี้ ทั้ง Dodge Challenger และ Chevrolet Camaro ก็โบกมือลาหายไปจากโชว์รูมแล้ว เหลือเพียง Mustang ที่ยังคงยืนหยัดเป็น “American muscle car” ตัวหลักที่ยังขายดีไม่ยอมแพ้
เหตุผลที่ Mustang ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นและยอดขายกระเตื้องขึ้นได้:
-
ความเป็นไอคอนที่ไม่ตาย (Iconic Status): Mustang ไม่ใช่แค่รถ แต่คือ ตำนาน ที่อยู่ในวัฒนธรรมป๊อปอเมริกันมานานแสนนาน เป็นสัญลักษณ์ของอิสระและพลังงานที่คลาสสิก คนที่รักรถสปอร์ตจริงจังยังไงก็ตัดใจจากความรู้สึกนี้ไม่ได้
-
ฟีลลิ่งการขับที่ “ดิบ” และสนุก: เสียงเครื่องยนต์ V8 คำราม (หรือแม้แต่เครื่อง EcoBoost) ความรู้สึกเวลาเข้าโค้งและการกดคันเร่งที่มอบประสบการณ์แบบที่ EV ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าทรงสูง ๆ ให้ไม่ได้ ทำให้มันยังคงเป็นที่ต้องการของสาย “Pure Driving Experience”
-
ตัวเลือกที่หลากหลาย: Ford ยังออกแพ็กเกจแต่งและรุ่นย่อยใหม่ ๆ มากระตุ้นตลาดตลอด ทำให้มีทางเลือกตอบโจทย์ทั้งคนเล่นรถที่ชอบปรับแต่งและคนที่เพิ่งเริ่มต้นอยากได้สปอร์ตคาร์คันแรก
📉 ฝั่ง EV ของ Ford พลาดท่าอะไร ทำไมยอดร่วงแรงขนาดนี้?
ฝั่งรถไฟฟ้าของ Ford ต้องยอมรับว่า “ยับพอตัว” โดยเฉพาะยอดขายเดือนพฤศจิกายนที่ลดลงรวมกันกว่า 61% เมื่อเทียบกับปีก่อน (เหลือแค่ 4,247 คันในเดือนเดียว) (Reuters)
-
E-Transit: เจ็บหนักสุด! ยอดเดือนพฤศจิกายนร่วงหนักกว่า 80% เมื่อเทียบกับปีก่อน
-
F-150 Lightning: นอกจากดีมานด์จะเริ่มชะลอแล้ว ยังเจอแจ็คพอตปัญหาซัพพลายจากโรงงานอะลูมิเนียมไฟไหม้ ทำให้การผลิตสะดุด ยอดเลยตกหนัก (Reuters)
-
Mustang Mach-E: แม้ภาพรวมทั้งปียังบวก แต่ยอดในบางเดือนก็โดนหางเลขไปด้วย
ตัวแปรสำคัญที่ทุบ EV หนักสุด: เครดิตภาษีหายไป (Tax Credit Ends)!
หนึ่งในตัวแปรใหญ่ที่ทำให้ตลาด EV สหรัฐฯ เจอทางตัน คือการยกเลิก/เปลี่ยนแปลงนโยบาย เครดิตภาษี ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคยช่วยอุดหนุนรถไฟฟ้าสูงสุดถึงประมาณ $7,500 ต่อคัน (ราว 250,000 บาท)!
พอไม่มีตัวช่วยเรื่องราคาตรงนี้:
-
EV ดูแพงขึ้นทันที: คนที่กำลังจะตัดสินใจลองใช้ EV เลยลังเลอย่างหนัก และเปลี่ยนใจกลับไปดูรถน้ำมันหรือไฮบริดแทน
-
รถ EV ราคาสูงเจ็บหนัก: รถใหญ่ ๆ อย่าง Pickup หรือรถตู้ EV ที่ราคาสูงอยู่แล้ว ยิ่งได้รับผลกระทบ เพราะราคาสุทธิแทบไม่ต่างจากรถพรีเมียมหรู ๆ เลย
♻️ ไฮบริดกลับมาแรง! ทางรอดใหม่ที่คนเริ่ม “คิดเยอะ” กับ EV
ในขณะที่ EV ชะลอตัว อีกฝั่งที่กำลังมาแรงแซงโค้งคือ รถไฮบริด ค่ะ! เพราะมันตอบโจทย์ของคนยุคนี้ที่อยากได้ความประหยัด แต่ก็ยังต้องการ “ความสบายใจ” และไม่ต้องมานั่งลุ้นสถานีชาร์จ หรือกังวลเรื่องราคาขายต่อ (Resale Value) เท่ารถไฟฟ้าล้วน
ข้อมูลชี้ว่าปี 2025 Ford ขายรถไฮบริดไปได้มากกว่า 206,000 คัน (เพิ่มขึ้นเกือบ 19% จากปีก่อน) และค่ายอื่น ๆ ก็ได้อานิสงส์ไปด้วย (MarketWatch) นี่คือสัญญาณชัดว่าผู้บริโภคกำลัง “เบนโฟกัส” จากการพุ่งไปหา EV ล้วน มาสู่ทางเลือกที่ดูบาลานซ์และมีความเสี่ยงต่ำกว่าอย่างไฮบริด
💡 บทเรียนสำคัญสำหรับคนไทย / คนใช้รถทั่วไป
แม้เหตุการณ์จะเกิดที่สหรัฐฯ แต่เคสของ Ford ก็ให้บทเรียนสำคัญกับเราทุกคน:
-
ราคาและความคุ้มค่าสำคัญกว่าเทคโนโลยีเสมอ: คนไม่ได้ปฏิเสธ EV แต่เขาชั่งน้ำหนักเรื่องเงินในกระเป๋า ค่าเสื่อม และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อมเท่าที่ควร
-
ไฮบริดคือ “สะพาน” ที่สำคัญ: หลายคนอาจใช้ไฮบริดเป็นจุดพักก่อนจะขยับไป EV ล้วนในอนาคต เมื่อราคา EV ถูกลง และการชาร์จไฟทำได้สะดวกสบายเหมือนการเติมน้ำมัน
-
แบรนด์และความรู้สึกยังมีผล: Mustang พิสูจน์แล้วว่า “ความรู้สึกตอนขับ” และภาพจำทางอารมณ์ยังสามารถพยุงยอดขายไว้ได้ แม้จะอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านก็ตาม
สรุปสั้น ๆ คือ: อนาคตรถไฟฟ้ายังมาแน่ แต่คงไม่ได้พุ่งเร็วแบบสายฟ้าฟาดเหมือนที่เคยคาดกันไว้ ต้องอาศัยเวลา การลดราคา และการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมมากกว่านี้ ถึงจะดึงคนให้เปลี่ยนใจจากน้ำมันไปไฟฟ้าได้แบบเต็มตัวค่ะ! ถ้า Ford อยากดันยอด EV กลับมาให้ได้ คงต้องจัดโปรโมชันและส่วนลดแบบจัดหนักกว่านี้แน่นอน!
❓ FAQ 3 Topics
Q1: ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจริงเหรอ? แล้วเกิดจากอะไรบ้าง?
A: จริงค่ะ! ตัวเลขยอดขาย EV ในช่วงปลายปี 2025 ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลัก ๆ คือการ ยกเลิกเครดิตภาษี EV ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคยช่วยลดภาระค่ารถไปได้หลายแสนบาท พอนโยบายนี้หายไป ทำให้ EV ดูแพงขึ้นมาทันทีในสายตาผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟที่ไม่ครอบคลุมพอ และความกังวลเรื่องราคาขายต่อ (Resale Value) ของรถ EV มือสองด้วยค่ะ
Q2: ทำไม Ford Mustang ถึงสามารถรักษายอดขายไว้ได้ ทั้งที่เป็นรถน้ำมัน?
A: Mustang ไม่ใช่แค่รถ แต่เป็น ตำนานไอคอน (Iconic Car) ที่อยู่มานานกว่า 60 ปี มันเป็นสัญลักษณ์ของ “American muscle car” ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นมาก คนที่รักรถสปอร์ตยังต้องการ “ฟีลลิ่ง” ของการขับรถเครื่องยนต์สันดาปแท้ ๆ ทั้งเสียงเครื่องยนต์ที่คำราม และบุคลิกการขับที่ดิบ ๆ มันส์ ๆ ซึ่งรถ EV ครอสโอเวอร์ทั่ว ๆ ไปให้ไม่ได้ นอกจากนี้การที่คู่แข่งสปอร์ตคาร์ร่วมชาติอย่าง Dodge Challenger และ Chevrolet Camaro ทยอยเลิกผลิต ก็ทำให้ Mustang กลายเป็นตัวเลือกหลักที่เหลืออยู่สำหรับคนกลุ่มนี้ด้วยค่ะ
Q3: การที่คนหันไปซื้อรถไฮบริดมากขึ้น สะท้อนอะไรในมุมผู้บริโภค?
A: สะท้อนว่าผู้บริโภคกำลังมองหา “ทางเลือกที่สมดุล” ที่สุดค่ะ! พวกเขาต้องการความประหยัดน้ำมันและการปล่อยมลพิษที่ต่ำลงเหมือน EV แต่ก็ไม่อยากรับความเสี่ยงเรื่องราคาขายต่อ โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และราคาที่สูงเกินไปของรถไฟฟ้าล้วน การซื้อรถไฮบริดจึงเปรียบเหมือนการ “ก้าวข้ามสะพาน” จากรถน้ำมันไปสู่ไฟฟ้าล้วนแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ยังได้รับความสบายใจและความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ยอดขายรถไฮบริดทั้งของ Ford และค่ายอื่น ๆ เติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจในช่วงนี้

