ถ้าใครได้ดูงาน WWDC 2025 คงสะดุดตาว่า Apple ไม่ได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่派อะไรโฉบเฉี่ยว แต่กลับสร้างเสียงฮือฮาด้วย “Liquid Glass” ดีไซน์ใหม่ทั่วทั้งระบบปฏิบัติการ และที่ทำเอาสายทำงานไกลโทรศัพท์เฮลั่นคือ Phone app บน macOS 26 หรือ macOS Tahoe ที่สามารถกดยกหู รับ-วางสาย ฟังวอยซ์เมลได้จากหน้าจอ Mac ตรง ๆ เลย ไม่ต้องเอื้อมไปหยิบ iPhone อีกต่อไปแล้ว
Phone app เวอร์ชัน Mac ยกฟีเจอร์ของ iPhone มาแทบครบ ทั้ง Recents, Favorites, Voicemails แถมของเล่นใหม่อย่าง Call Screening ที่ให้ AI รับสายแทน ถามชื่อ-เหตุผลแล้วพิมพ์ข้อความมาให้ตัดสินใจก่อนรับ และ Hold Assist ที่กด “รอสายแทน” แล้วไปทำงานต่อได้สบาย ๆ เวลาคอลเซนเตอร์ปล่อยเพลงรอ เรียกว่าเปลี่ยน Mac ให้เป็น Call-Center ส่วนตัวย่อม ๆ ของเราเลยทีเดียว
ประสบการณ์ใช้งานจริงก็ง่ายมาก — แค่ Mac กับ iPhone ต่อ Wi-Fi วงเดียวกัน Continuity จะซิงก์เบอร์โทร รายชื่อ และข้อความโต้ตอบให้ทันที สายเรียกเข้าจะโผล่เป็นแถบแจ้งเตือนมุมขวาบน มี Contact Poster ใหญ่เต็มตา กดรับก็พูดผ่านไมค์-ลำโพงของ Mac ได้เลย ระหว่างคุยยังเปิด Live Translation แปลเสียงคู่สนทนาแบบเรียลไทม์ได้ด้วย เหมาะกับฟรีแลนซ์ที่ต้องรับลูกค้าต่างชาติไม่หยุด
นอกจากนี้ Live Activities จาก iPhone ยังลอยขึ้นมาบนเมนูบาร์ของ macOS 26 เช่น สถานะ Grab (เอ๊ย! เราไม่พูดถึง Grab), เที่ยวบิน หรือคะแนนบอล กดทีเดียวจะสลับไป iPhone Mirroring เพื่อควบคุมแอปนั้น ๆ บนหน้าจอ Mac ได้ทันที ลดจังหวะหยิบโทรศัพท์ลงไปอีกขั้น ในภาพรวมจึงเหมือน Apple กำลังลบ “กำแพง” ระหว่างอุปกรณ์ตัวเองทีละนิด รับ-โทร-พิมพ์-ประชุม จบในจอเดียว ชีวิตเวิร์ก-ฟรอม-เอเวอรีแวร์ลงตัวกว่าเดิมมาก
แล้วทำไมถึงบอกว่าเป็น “ก้าวเล็ก” สู่ Cellular Mac? เพราะตอนนี้การโทรยังต้องอาศัยสัญญาณมือถือจาก iPhone ผ่าน Wi-Fi Calling อยู่ดี แหล่งข่าววงในอย่าง Mark Gurman เคยรายงานว่า Apple กำลังพัฒนา ชิปโมเด็ม 5G ของตัวเอง และ “กำลัง ทดลอง Mac ใส่ซิม” โดยอาจได้เห็นจริงเร็วสุดปี 2026 หากชิป C2 เจเนอเรชันที่ 2 เสร็จทัน เมื่อวันนั้นมาถึง MacBook Air เปิดเครื่องเช็กเมลกลางทุ่งนาได้โดยไม่ต้องพึ่งฮอตสปอตอีกต่อไป แต่ก่อนถึงจุดนั้น Phone app ในเวลานี้ก็ช่วยให้เราชินกับไอเดีย “Mac = อุปกรณ์สื่อสาร” ไปพลาง ๆ ก่อน
ด้านความเป็นส่วนตัว Apple ย้ำว่าฟีเจอร์ Call Screening, Hold Assist และ Live Translation ทั้งหมดรันบน-ดีไวซ์ผ่าน Apple Intelligence โมเดล AI ที่ประมวลผลภายในชิป M-series จึงไม่ต้องกังวลว่าเสียงสนทนาจะหลุดสู่คลาวด์ ผู้พัฒนาแอปภายนอกยังสามารถส่ง App Intents ให้ Spotlight หรือ Shortcuts เรียกใช้งานร่วมกับระบบโทรศัพท์ได้อีก ต่อไปการโทรหาลูกค้าจากแอป CRM บน Mac อาจเป็นเรื่องคลิกเดียวจริง ๆ
แน่นอนว่าก้าวแรกย่อมมีข้อจำกัด — ผู้ใช้ Mac รุ่น Intel หมดสิทธิ์ตั้งแต่ต้นเพราะ macOS Tahoe รองรับเฉพาะ Mac Apple Silicon เท่านั้น และผู้ที่คุยสายเยอะอาจต้องพิจารณาเรื่องไมค์-ลำโพงภายนอกเพื่อคุณภาพเสียง ส่วนคนที่หวัง “เสียบซิมโทรได้เลย” ต้องอดใจรอไปก่อน แต่ในแง่ UX โทรศัพท์บนจอ 14 นิ้วขึ้นไปก็เปิดพื้นที่ให้ Apple โชว์ Contact Poster สวย ๆ หรือทำหน้ากระดานสรุปวอยซ์เมลแบบ Visual Voicemail ได้เต็มตา ซึ่ง iPhone จอเล็กทำไม่ได้ ถือเป็นการเล่นกับจุดแข็งของหน้าจอ Mac ได้ดีทีเดียว
สุดท้าย สำหรับนักพัฒนาที่อยากลองของ Developer Beta ของ macOS 26 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว ส่วน Public Beta จะตามมาช่วงกรกฎาคม และเวอร์ชันเต็มปลายฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ใครอยากสัมผัสงานออกแบบ Liquid Glass + Phone app รุ่นใหม่ก็เตรียม Time Machine แบ็กอัปแล้วโดดเข้าทดลองกันได้เลย ส่วนทีมคอนเทนต์หรือฟรีแลนซ์ที่รับสายลูกค้าตลอดวัน นี่อาจเป็นเหตุผลดี ๆ ในการอัปเกรด Mac เครื่องใหม่ให้รองรับ macOS Tahoe ตั้งแต่วันแรกวางขาย