ตอนนี้หลายคนคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์กันมากขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่ล่าสุดมีคำใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆ คือ “Agentic AI” ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! แล้วมันต่างกับ AI ที่เราคุ้นเคยยังไง? มันทำอะไรได้บ้าง? วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า Agentic AI แบบชัดๆ ง่ายๆ กันเลย
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจง่ายๆ ก่อนว่า “Agentic AI” คือ AI ที่ไม่ได้แค่ตอบคำถามหรือสร้างข้อความทั่วไปแบบที่เราคุ้นเคย แต่มันเป็น AI ที่มีความสามารถในการวางแผน ตัดสินใจ และลงมือทำงานได้เองอย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์คอยควบคุมทุกขั้นตอน แถมมันยังเรียนรู้ได้เองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยนะ เท่สุดๆ ไปเลย
พูดง่ายๆ คือ AI ทั่วไปที่เราใช้อยู่ เช่น ChatGPT หรือ Generative AI มันจะทำได้แค่สร้างเนื้อหา เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอเท่านั้น แต่ Agentic AI จะไปไกลกว่านั้นอีกขั้น เพราะมันสามารถวิเคราะห์โจทย์หรือปัญหาที่ได้รับ แล้วลงมือแก้ไขหรือทำตามเป้าหมายได้เองแบบอัตโนมัติ เช่น ถ้าเราต้องการให้มันช่วยบริหารร้านค้าออนไลน์ เจ้าตัวนี้ก็จะสามารถจัดการดูแลระบบหลังร้าน สินค้าคงคลัง หรือแม้แต่ติดต่อประสานงานกับลูกค้าแทนเราได้แบบไม่ต้องบอกซ้ำ แค่ตั้งเป้าหมายชัดเจนให้มันก็พอ!
แล้ว Agentic AI มันทำงานยังไง?
เทคโนโลยีเบื้องหลังของ Agentic AI หลักๆ จะใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing หรือ NLP) ร่วมกับ Machine Learning (ML) ที่ช่วยให้มันสามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งได้รับข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเรียนรู้และทำงานได้ฉลาดขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างการนำ Agentic AI มาใช้จริง
หลายบริษัทยักษ์ใหญ่เริ่มหันมาสนใจและใช้งาน Agentic AI กันมากขึ้น เช่น Amazon Web Services (AWS) ที่ตอนนี้ตั้งทีมพัฒนา Agentic AI โดยเฉพาะ เพื่อช่วยยกระดับงานบริการลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม ทำให้ในอนาคต เราอาจได้เห็น AI ช่วยบริหารจัดการสินค้า ส่งของ หรือดูแลระบบคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ 100% ก็ได้!
หรืออีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือภาคธุรกิจสุขภาพ ที่เริ่มใช้ Agentic AI เข้ามาช่วยดูแลจัดการข้อมูลผู้ป่วย วินิจฉัยโรคเบื้องต้น หรือแม้กระทั่งแนะนำวิธีดูแลสุขภาพที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยได้ทันที แบบที่ไม่ต้องมีแพทย์หรือพยาบาลคอยตอบทุกคำถามเล็กๆ น้อยๆ ช่วยลดภาระงานบุคลากรได้อย่างมหาศาล
ข้อดีที่ทำให้ Agentic AI น่าจับตามอง
ข้อดีแรกเลยก็คือมันช่วยลดต้นทุนและประหยัดเวลาในการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานประจำวัน งานเอกสาร งานบริการลูกค้า หรือแม้แต่เรื่องการตัดสินใจทางธุรกิจที่ต้องใช้ข้อมูลเยอะๆ เจ้า AI นี้ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูล จัดการ และตัดสินใจให้เราได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า
แถมอีกอย่างคือ ความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้เองของ Agentic AI จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ไวขึ้น เพราะ AI ตัวนี้จะเรียนรู้จากข้อมูลจริงที่เปลี่ยนไปทุกวัน ทำให้มันสามารถรับมือกับปัญหาหรือโอกาสใหม่ๆ ได้ทันที
แต่ยังไงก็ตาม Agentic AI ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบซะทีเดียว ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง เช่น การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนในการตัดสินใจ หรือการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลที่ AI นำไปใช้งาน ซึ่งก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่นักพัฒนายังคงต้องหาทางแก้ไขกันต่อไปในอนาคต
อนาคตของ Agentic AI
หลายฝ่ายมองว่า Agentic AI จะเป็นเทรนด์ใหญ่ในวงการ AI และเทคโนโลยีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจดิจิทัล ระบบบริหารจัดการองค์กร รวมไปถึงวงการบันเทิงและการตลาดออนไลน์ ซึ่งน่าจะเห็น AI ออกมาทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้นแบบที่เราแทบไม่ต้องแตะอะไรเลย
แต่แน่นอนว่า เมื่อ AI เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา มนุษย์เองก็ต้องปรับตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่สนใจเทคโนโลยี หรือมีธุรกิจที่อยากพัฒนาให้ทันยุคทันสมัย ก็อย่าลืมจับตาดูการมาถึงของ Agentic AI ให้ดี เพราะมันอาจจะกลายเป็นตัวช่วยสำคคัญที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาลเลยก็ได้นะ!
Agentic AI กับ Generative AI ต่างกันอย่างชัดเจนตามบทบาทและการทำงาน ดังนี้ครับ
1. Generative AI (AI สร้างสรรค์เนื้อหา)
เป็น AI ที่มีความสามารถในการ สร้างเนื้อหาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ โดยอาศัยข้อมูลที่เรียนรู้จากชุดข้อมูลที่ได้รับมาจำนวนมาก เช่น ChatGPT, Midjourney, DALL-E, Stable Diffusion เป็นต้น
- เน้นการสร้างคอนเทนต์เป็นหลัก
- ต้องการคำสั่ง (Prompt) ชัดเจนจากมนุษย์
- ไม่สามารถตัดสินใจหรือวางแผนได้เอง
- เน้นการตอบสนองต่อคำสั่งแบบครั้งต่อครั้ง
2. Agentic AI (AI เชิงตัวแทน)
เป็น AI ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสามารถตัดสินใจ วางแผน และดำเนินการได้เองตามเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมในทุกขั้นตอน
- เน้นการตัดสินใจและดำเนินการตามเป้าหมาย
- มีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
- สามารถทำงานซับซ้อน เช่น การจัดการคลังสินค้า การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ
- ลดภาระงานมนุษย์ลงไปได้มากกว่า Generative AI
ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น:
- Generative AI: เราสั่งให้ AI แต่งกลอน, วาดภาพ, สร้างบทความ AI ก็จะผลิตเนื้อหานั้นขึ้นมา
- Agentic AI: เรากำหนดเป้าหมายให้ AI เช่น ช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่ดูแลสต็อกสินค้า รับคำสั่งซื้อ แจ้งลูกค้า และรายงานยอดขาย AI ก็จะดำเนินการเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมานั่งคุมทุกขั้นตอน
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ
- Generative AI → เน้นสร้างเนื้อหา
- Agentic AI → เน้นตัดสินใจ ลงมือทำ และแก้ไขปัญหาเองได้
ทั้งสองแบบจึงแตกต่างกันที่จุดมุ่งหมาย และความสามารถในการทำงานแบบอิสระนั่นเองครับ