เปิดฉากปลายปี 2025 ด้วยจังหวะที่ทำเอาวงการการเงินสะดุ้งกันเป็นแถว เมื่อ Beth Hammack ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สาขา Cleveland ออกมาสาดน้ำเย็นรดตลาดที่กำลังลุ้นดอกเบี้ยขาลง โดยเธอประกาศชัดว่า “ขอกอดดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมก่อน” และอาจลากยาวไปจนถึงช่วง Spring (มีนาคม-พฤษภาคม) ปีหน้าเลยทีเดียว
ทำไมเธอถึงกล้าขัดใจสายซิ่ง? แล้วทำไมเราต้องฟังผู้หญิงคนนี้? มาส่องเบื้องลึกเบื้องหลังแบบเข้าใจง่ายๆ กันครับ
1. Beth Hammack คือใคร? และทำไมคำพูดเธอถึงมีพลังทำลายล้างสูง?
Beth Hammack ไม่ใช่หน้าใหม่ในโลกการเงินครับ เธอเพิ่งมารับตำแหน่งประธานและ CEO ของ Federal Reserve Bank of Cleveland เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ประวัติการทำงานเธอนี่ระดับเขี้ยวลากดินเพราะเคยเป็นบิ๊กบริหารที่ Goldman Sachs มาก่อน
ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้: ในปี 2025 นี้ เธอมีสิทธิ์โหวตในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ครับ! หมายความว่าทัศนคติแบบ Hawkish (สายเหยี่ยวที่เน้นคุมเข้มเงินเฟ้อ) ของเธอนั้น ไม่ได้มีไว้แค่ขู่ แต่มันคือคะแนนเสียงที่จะกำหนดทิศทางดอกเบี้ยโลกจริงๆ
ย้อนกลับไปในการประชุมครั้งก่อนๆ เธอคือคนหนึ่งที่กล้า “ค้านสายตา” โดยการโหวตให้คงดอกเบี้ย ในขณะที่กรรมการคนอื่นเริ่มโหวตลดดอกเบี้ยกันไปแล้ว (รวมลดไปแล้ว 75 bps จนมาอยู่ที่ 3.5%–3.75%) ความใจแข็งของเธอนี่แหละที่ทำให้ตลาดต้องหันมามองใหม่
2. เงินเฟ้อ “ตัวแสบ” ที่ทำให้เธอไม่ไว้ใจ
เหตุผลที่ Hammack อยากดึงเบรกมือไว้ก่อน ไม่ใช่เพราะเธออยากแกล้งคนกู้บ้านนะครับ แต่เธอมองว่า Inflation หรือเงินเฟ้อมันยังไม่จบสวยอย่างที่เห็น ตัวเลข CPI ล่าสุดที่อยู่แถว 2.7% เธอเชื่อว่ามันอาจจะ “หลอกตา” (Understated) หรือต่ำกว่าความเป็นจริงที่ชาวบ้านรู้สึกกัน
นอกจากนี้ เธอยังมีความกังวลใหม่ที่พ่วงเข้ามาคือเรื่อง Tariffs หรือภาษีนำเข้าจากนโยบายการเมืองใหม่ๆ ซึ่งมันจะกลายเป็น “ต้นทุนแฝง” ที่ค่อยๆ ไหลผ่านซัพพลายเชนมาลงที่ราคาสินค้า ถ้า Fed รีบลดดอกเบี้ยตอนนี้ แล้วเงินเฟ้อดีดกลับเพราะกำแพงภาษี มันจะกลายเป็นว่า Fed คุมเกมไม่อยู่ครับ
3. “Higher for Longer” ภาคต่อ: กระทบเรายังไงบ้าง?
คำว่า “คงดอกเบี้ยยาวถึง Spring” แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ อย่าเพิ่งหวังว่าดอกเบี้ยเงินกู้จะลงในเร็วๆ นี้ ครับ
-
คนกู้เงิน/ผ่อนบ้าน: ต้องแบกรับดอกเบี้ยระดับสูงต่อไปอีก 2-3 ไตรมาส ใครหวังจะรีไฟแนนซ์ช่วงต้นปีอาจจะต้องคิดใหม่
-
สายเทรดพันธบัตร: ผลตอบแทน (Yields) มีโอกาสยืนสูงนานขึ้น ซึ่งจะกดราคาพันธบัตรให้ขยับยาก
-
ค่าเงิน Dollar: เมื่อดอกเบี้ยเมกาสูง เงินก็มักจะไหลไปพักที่นั่น ทำให้ดอลลาร์อาจจะแข็งค่าข่มค่าเงินอื่นๆ รวมถึงเงินบาทเราด้วย
-
ราคาทองคำ: ปกติทองไม่ชอบดอกเบี้ยสูง เพราะถือแล้วไม่มีปันผล/ดอกเบี้ย แต่ด้วยความไม่แน่นอนของนโยบาย Hammack ทองคำก็อาจจะยังผันผวนหนักในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยครับ
4. สัญญาณแบบไหนที่อาจทำให้ Hammack เปลี่ยนใจ?
ถึงเธอจะบอกว่าอยากรอถึง Spring แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจไม่ได้ครับ สิ่งที่เราต้องลุ้นให้เกิดขึ้นเพื่อให้ Fed ใจอ่อนลงมีอยู่ 3 เรื่อง:
-
Core PCE/CPI ต้องลงแบบ “ไหลลื่น” โดยเฉพาะค่าเช่าบ้านและค่าบริการที่ตอนนี้ยังหนืดสุดๆ
-
Labor Market หรือตลาดแรงงานถ้าเริ่มมีคนว่างงานพุ่งพรวด Fed อาจจะยอมทิ้งเรื่องเงินเฟ้อเพื่อมาอุ้มการจ้างงานก่อน
-
Financial Stress ถ้าภาคธุรกิจเริ่มส่งสัญญาณว่า “ไม่ไหวแล้ว” หรือเข้าสู่ภาวะเครดิตตึงตัวขั้นสุด
สรุปสั้นๆ: Beth Hammack กำลังบอกเราว่า “ใจเย็นๆ วัยรุ่น” อย่าเพิ่งฉลองดอกเบี้ยขาลง เพราะสงครามเงินเฟ้อรอบนี้อาจจะมีก๊อกสองจากเรื่องภาษีนำเข้าและการบริโภคที่ยังแข็งแกร่งนั่นเอง
FAQ : คำถามที่พบบ่อย (ฉบับเข้าใจง่าย)
Q: ทำไม Beth Hammack ถึงไม่ยอมลดดอกเบี้ยตามคนอื่น? A: เพราะเธอเป็นสายระมัดระวังตัวสูงครับ เธอเชื่อว่าข้อมูลเงินเฟ้อตอนนี้อาจจะยังไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด และกลัวว่าถ้าลดเร็วไป เงินเฟ้อจะกลับมาพุ่งแรงจากปัจจัยเรื่องภาษีนำเข้า (Tariffs) จนเอาไม่อยู่
Q: “คงดอกเบี้ยถึง Spring” จะกระทบคนไทยไหม? A: กระทบเต็มๆ ครับ เพราะถ้าดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังสูง เงินบาทไทยมีโอกาสอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันและสินค้านำเข้าในบ้านเราให้แพงขึ้นตามไปด้วย
Q: Beth Hammack มีสิทธิ์ตัดสินใจแค่ไหนใน Fed? A: ในปี 2025 เธอคือหนึ่งในคณะกรรมการที่มีสิทธิ์ออกเสียงโหวต (Voting Member) ใน FOMC ดังนั้นมุมมองของเธอจึงไม่ใช่แค่การคาดการณ์ แต่คือแนวทางที่เธอจะเลือกเดินจริงๆ ในการประชุมแต่ละรอบ


