จากรถ EV สู่ e-bike: เมื่อ Rivian สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการจักรยานไฟฟ้า
ช่วงนี้เทรนด์รถไฟฟ้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์คันใหญ่ๆ แล้วครับ แต่เริ่มขยายลงมาถึงยานพาหนะขนาดเล็กอย่าง “จักรยานไฟฟ้า” (e-bike) กันอย่างจริงจัง ล่าสุด Rivian (ผู้ผลิตรถกระบะและ SUV ไฟฟ้าสุดเท่ที่อเมริกา) ก็ได้แตกไลน์เปิดบริษัทลูกที่ชื่อว่า Also โดยโฟกัสที่ Micro-mobility และส่งไม้เด็ดตัวแรกออกมาคือ TM-B ที่ไม่ได้มาเล่นๆ แต่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่บนสองล้อ”
TM-B ชูจุดเด่นที่เทคโนโลยีจัดเต็ม ดีไซน์ล้ำยุค และแน่นอนว่า… ราคาที่เปิดตัวรุ่นพื้นฐาน (Base) มาที่ $3,500 (ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 12X,XXX – 13X,XXX บาท ยังไม่รวมภาษีและค่าขนส่งที่จะบวกเพิ่มอีกอาน) ราคานี้ถือว่าเป็นการประกาศศึกในตลาด e-bike พรีเมียมแบบเต็มตัว!
🚀 Rivian Also คือใคร ทำไมถึงน่าจับตา?
Also คือบริษัทสปินออฟของ Rivian ที่เน้นยานพาหนะขนาดเล็กสำหรับใช้ในเมือง การเดินทางระยะสั้น หรือการขนส่งแบบ Last-mile Delivery (ส่งของในขั้นตอนสุดท้าย) เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก คือการเอา DNA ของ Rivian ที่โดดเด่นเรื่อง ดีไซน์ที่ดูเท่ ทันสมัย ฟีเจอร์ที่ใส่มาแบบไม่กั๊ก และการเชื่อมต่อออนไลน์ มาย่อส่วนลงในยานพาหนะสองล้อหรือสี่ล้อเล็กๆ อย่าง e-bike หรือ quad
ดังนั้น TM-B จึงไม่ใช่แค่การเอา “มอเตอร์มาติดกับจักรยาน” แต่เป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด ให้มีทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบหลังบ้านที่อัปเดต/เชื่อมต่อกันได้ตลอดเวลา เหมือนกับเราซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งเลยนั่นแหละครับ!
⚙️ สเปกเด็ด TM-B: แรงบิด 180 Nm! ช่วงล่างจัดเต็ม
TM-B เป็น Class 3 e-bike ที่ถูกกฎหมายอเมริกาอนุญาตให้มอเตอร์ช่วยปั่นได้สูงสุดถึง 28 mph (ประมาณ 45 กม./ชม.) แต่สิ่งที่พีคสุดๆ คือ แรงบิด (Torque) ที่สูงถึง 180 Nm! แรงบิดระดับนี้คือเยอะมากเมื่อเทียบกับ e-bike ทั่วไปที่มักจะอยู่แค่ 50-90 Nm เท่านั้น
💡 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม: แรงบิด 180 Nm นี่คือระดับที่สามารถพาคนตัวใหญ่ๆ บรรทุกของหนักๆ หรือขึ้นเนินชันๆ ในเมืองได้อย่างสบายๆ ชนิดที่ว่าแซงสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าตัวแรงๆ ได้เลยครับ แถมยังมาพร้อม ช่วงล่างแบบซับแรงกระแทกทั้งหน้า-หลัง และ ระบบเบรกดิสก์ไฮดรอลิกพร้อม ABS (ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ความปลอดภัยที่หาได้ยากใน e-bike ทั่วไป ทำให้มันไม่ได้แค่แรง แต่ยังขับขี่ได้นุ่มนวลและปลอดภัยด้วย
ส่วนดีไซน์ก็ล้ำสุดๆ ด้วยไฟหน้า-หลังที่ถูกติดตั้งฝังเข้าไปในเฟรมอย่างแนบเนียน ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องการติดอุปกรณ์เสริมหรือไฟให้ดูเกะกะเลย
⚡️ ไฮไลต์ลับสุดยอด: ระบบ DreamRide แบบ Pedal-by-Wire
นี่คือจุดที่ทำให้ TM-B แตกต่างจาก e-bike ทุกคันในตลาด! ระบบขับเคลื่อนที่ชื่อว่า “DreamRide” เป็นแบบ Pedal-by-Wire พูดง่ายๆ คือ เวลาเราปั่นเนี่ย แรงปั่นของเราจะไม่ได้ส่งตรงผ่านโซ่ไปยังล้อหลังเหมือนจักรยานปกติ แต่จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า (ผ่านตัวเจนเนอเรเตอร์) แล้วค่อยส่งไฟฟ้าไปขับเคลื่อนมอเตอร์ที่ล้อหลังผ่าน Gates Carbon Belt อีกที (ซึ่งตัวสายพานนี้ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องมีโซ่เลอะจารบี)
-
ข้อดีคืออะไร? มันทำให้ซอฟต์แวร์สามารถ “กำหนด” ฟีลลิ่งการปั่น ได้ตามใจเราเลย! อยากให้ปั่นแล้วรู้สึกเบาเหมือนวิ่งลงเนิน? ทำได้! อยากให้หน่วงๆ เหมือนกำลังปั่นออกกำลังกาย? ก็แค่เปลี่ยนโหมด!
-
อนาคตสุดล้ำ: ระบบนี้ยังเปิดทางให้มีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ ผ่านซอฟต์แวร์ในอนาคต เช่น โหมดฝึกปั่น, การทำโปรไฟล์ผู้ขี่หลายคนในบ้าน (เหมือน User Profile ในรถยนต์), หรือแม้แต่การจำลองแรงต้านในการปั่น
💸 ราคา $3,500 ได้อะไรบ้าง? เทียบกับรุ่นตัวท็อป
ก่อนหน้านี้ TM-B มีแค่รุ่น Launch และ Performance ราคา $4,500 แต่เพื่อเข้าถึงคนมากขึ้น Rivian Also จึงเปิดตัวรุ่น Base ที่ราคา $3,500 โดยจะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2026
มาดูกันว่ารุ่น Base ต่างกับรุ่น Launch/Performance ยังไงบ้าง:
| จุดเปรียบเทียบ | Base (เริ่มต้น $3,500) | Launch/Performance (เริ่มต้น $4,500) |
| ช่วงล่าง | โช้คหน้าแบบคอยล์สปริง (ใช้งานทั่วไป) | โช้คหน้า-หลัง Air Suspension (นุ่มกว่า ปรับละเอียดได้) |
| กำลังช่วยปั่น | มอเตอร์ช่วยปั่นได้สูงสุด 5 เท่า ของแรงคน | มอเตอร์ช่วยปั่นได้สูงสุด 10 เท่า ของแรงคน (แรงจัดๆ) |
| ระยะทาง/แบตฯ | สูงสุดราว 60 ไมล์ (96 กม.) ต่อการชาร์จ | สูงสุดราว 100 ไมล์ (160 กม.) เหมาะกับวิ่งไกล |
| ดีไซน์ | เรียบง่าย ฝาครอบมอเตอร์สีเทาปกติ | ดีไซน์จัดเต็ม ฝาครอบใสโชว์มอเตอร์ มีสีสันล้ำๆ |
ดีงามมาก: แบตเตอรี่ของ TM-B สามารถถอดเปลี่ยนได้ และรุ่น Base ยังสามารถ อัปเกรดเป็นแบตก้อนใหญ่ ของรุ่นบนในอนาคตได้ด้วยนะ!
📱 ฟีเจอร์ Smart Car บนสองล้อ: OTA และ Modular Frame
TM-B ทุกรุ่นมี จอสัมผัสทรงกลม ขนาดเล็กบนแฮนด์ ซึ่งมี GPS, การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และที่สำคัญคือรองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA (Over-The-Air) เหมือนกับรถ EV ของ Rivian ทำให้จักรยานของคุณสามารถรับฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือการปรับปรุงระบบความปลอดภัยได้ตลอดอายุการใช้งาน
อีกจุดที่เจ๋งมากคือ โครงส่วนบน (Top Frame) ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้แบบง่ายๆ ด้วยการกดทีเดียว ทำให้เราสามารถเปลี่ยนสไตล์ของรถได้ตามต้องการ:
-
Top Frame แบบ Cargo: แปลงเป็นรถขนของ/ส่งของ
-
Top Frame แบบ Bench Seat: กลายเป็นทรง Moped ที่นั่งซ้อนสองได้ชิลล์ๆ
-
Top Frame มาตรฐาน: ทรงจักรยานปั่นปกติ
ค่าตัว Top Frame เสริมอยู่ที่ประมาณ $350–$500 ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานได้เยอะมาก!
🤔 มุมมองในตลาด: คุ้มไหมกับราคานี้?
แม้ว่า $3,500 จะเป็นราคาที่ลดลงมาแล้ว แต่ถ้าเทียบกับตลาด e-bike ทั่วไปที่ราคาช่วง $1,500–$2,500 ก็ถือว่า TM-B ยังอยู่ในโซน “ของเล่นคนรวย” หรือ “ตัวท็อปโคตรพรีเมียม” ที่เป็น Niche Market อยู่ดี
หลายคนยังกังวลว่าการทำ e-bike ราคาสูง บวกเทคโนโลยีเยอะ อาจจะเป็นความเสี่ยง (เหมือนที่แบรนด์ VanMoof เคยเจอปัญหา) แต่สำหรับ Rivian Also แล้ว TM-B ดูเหมือนจะเป็นการ “โชว์ของ” มากกว่าจะเป็นรถตลาดแมส มันถูกสร้างมาเพื่อคนที่ หลงรักเทคโนโลยี, ชอบดีไซน์ล้ำๆ, และพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ “ล้ำกว่า” จักรยานไฟฟ้าทั่วๆ ไป
🇹🇭 ถ้า TM-B เข้าไทย: จะเหมาะกับใคร?
ถ้าวันหนึ่ง TM-B ถูกนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการ (ราคาน่าจะพุ่งไปแตะ 180,000–2xx,xxx บาทได้เลยเมื่อเจอภาษีนำเข้าและค่าขนส่ง) กลุ่มที่น่าจะโดนใจและยอมจ่ายเงินก้อนนี้คือ:
-
สาย Tech/EV Collector: อยากได้ของ Limited Edition หรือยานพาหนะไฟฟ้าจากค่ายดังอย่าง Rivian เอาไว้สะสมหรือใช้งานที่ไม่เหมือนใคร
-
คนเมืองยุคใหม่: ที่อยากได้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก (ที่จอดในคอนโดได้) ใช้สำหรับวิ่งในเมืองระยะสั้นๆ แต่ยังคงต้องการฟีเจอร์ระดับพรีเมียมและความปลอดภัยสูง
-
ธุรกิจ Delivery พรีเมียม: ที่ต้องการภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดูเท่ ทันสมัย และใส่ใจเทคโนโลยีในการขนส่ง
สรุป: TM-B รุ่น Base ที่ราคา $3,500 ของ Rivian Also คือการ “เปิดโลกทัศน์” ของจักรยานไฟฟ้าให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยระบบ DreamRide และฟีเจอร์แบบรถ EV ตัวใหญ่ มันอาจจะไม่ใช่ e-bike ที่ถูกที่สุด แต่เป็นตัวที่ “ล้ำที่สุด” และน่าติดตามที่สุดว่าจะสามารถเปลี่ยนมาตรฐานของตลาด e-bike ในอนาคตได้จริงหรือไม่!
FAQ
Q3: ถ้าจะคิดจะซื้อ e-bike ราคาแพงระดับ Also TM-B ควรเช็กอะไรบ้าง?
A: ถ้าตัดสินใจจะซื้อ e-bike ที่ราคาสูงขนาดนี้ (แบบเป็นแสนบาท) สิ่งที่ควรเช็กแบบละเอียดมีอย่างน้อย 4 อย่างที่สำคัญมากครับ คือ:
-
การซัพพอร์ตหลังการขายและอะไหล่: รุ่นที่ใช้เทคฯ ล้ำขนาดนี้ ต้องแน่ใจว่าในประเทศมีศูนย์บริการที่ดูแลระบบซอฟต์แวร์ ระบบ DreamRide และอะไหล่เฉพาะทางได้ ไม่ใช่แค่ร้านจักรยานทั่วไป
-
ระยะทางจริงในการใช้งาน: ดูว่าสเปกระยะทางสูงสุดต่อชาร์จเพียงพอกับการใช้งานประจำวันของคุณหรือไม่ (เช่น วิ่งไปกลับที่ทำงาน/ส่งของ) และเช็กด้วยว่าเวลาชาร์จเร็วแค่ไหน
-
กฎหมายและการใช้งานในพื้นที่: เช็กกฎหมายจราจรของไทยว่ารองรับจักรยานไฟฟ้าที่มีกำลังและมีคันเร่งขนาดนี้หรือไม่ (ต้องดู Class และ Wattage) และเส้นทางในเมืองของคุณมีเลนจักรยานหรือถนนย่อยที่ปลอดภัยพอให้วิ่งไหม
-
ฟีเจอร์ที่ได้ใช้จริง: ถามตัวเองว่า “เราใช้ฟีเจอร์เทพๆ เหล่านี้คุ้มไหม?” ถ้าต้องการแค่จักรยานไฟฟ้าไว้ปั่นออกกำลังกาย หรือซื้อของในหมู่บ้าน อาจจะประหยัดเงินไปเลือกรุ่นที่ย่อมเยาและเอาเงินส่วนต่างไปลงกับอุปกรณ์ความปลอดภัยหรือชุดปั่นดีๆ แทนครับ


