รับมือกับคนที่นิสัยไม่โอเคในที่ทำงาน
การมีงานทำมีเงินใช้ทุกเดือนถือว่าเป็นความโชคดีและความหวังสูงสุดในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ และยิ่งมีเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลในที่ทำงานด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นความโชคดีเข้าไปใหญ่
แต่ในสังคมของคนทำงานย่อมรวมผู้คนจากหลายที่หลายถิ่น แตกต่างด้วยนิสัยการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย ทำให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดกันอยู่บ่อยครั้งด้วยมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
แล้วเราจะมีวิธีการจัดการกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร เพราะตัวเราคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับมันได้
วันนี้เรามีเทคนิคดีดีในการรับมือกับคนในที่ทำงานที่มีนิสัยไม่โอเค เพื่อที่เราจะสามารถทำงานร่วมกับพวกเขาได้โดยที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราลดลงตามไปด้วย
รับมือกับคนที่ชอบโยนความผิด (รู้เขารู้เรา ไม่จำเป็นก็ไม่เข้าใกล้)
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่านิสัยและความคิดของคนเราเกิดจากการเลี้ยงดูและการใช้ชีวิต
เราจึงเห็นได้ชัดว่าเมื่อเจอปัญหาที่คล้ายกัน คนเราจึงมีวิธีการจัดการตามนิสัยที่เราเป็นและเคยชินมากกว่า
เช่น เมื่องานที่ได้รับมอบหมายเกิดความผิดพลาดสำหรับคนที่ผ่านงานมามากมายจะมีสติและคิดหาทางออก
แต่ในทางกลับกันคนที่ไม่เคยรับผิดชอบงานใดใดจะลนลานและมองหาคนที่รับผิดก่อนโดยไม่เคยกล้าที่จะบอกออกไปว่าตัวต้นเหตุของเรื่องผิดพลาดทั้งหมดมาจากตัวเราเอง
เพราะคนเหล่านี้มักเข้าใจว่าคนที่เก่งจะไม่มีข้อผิดพลาดใดใดทั้งสิ้น โดยเขาไม่รู้ว่าคนที่เก่งจริงจะเรียนรู้จากความพลาดของตัวเองแล้วนำมาปรับใช้ คิดหาทางออกเพื่อจะไม่ทำให้ความผิดพลาดนั้นกลับมาเดินรอยเดิม
และเมื่อเรารู้ว่าเพื่อนร่วมงานเราเป็นเช่นนี้
เราก็จงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะงานที่เราต้องรับผิดชอบทำคนเดียว
แม้ว่าเขาจะเสนอตัวช่วยเหลือแต่โปรดจงจำไว้ว่าหากมีความผิดพลาดใดใดเกิดขึ้นโดยเฉพาะเรื่องใหญ่โตเขาก็จะโยนความผิดออกจากตัวแบบมึนๆทันที
แม้ว่างานนั้นเขาจะเป็นคนทำ
แต่แล้วไง
เมื่อหัวหน้างานมอบหมายเธอแล้ว ฉันอาสาช่วย ส่วนจะดีไม่ดีอันนั้นไม่รู้
เพราะฉันจะไม่รับผิด ฉันจะรับชอบเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นวิธีรับมือ คือเราควรจัดการงานของเราด้วยตัวเราเองให้เรียบร้อยซะ
และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพึ่งพาหรือเชื่อใจคนประเภทนี้ เพราะสุดท้ายเราอาจจะต้องมาเสียความรู้สึกกับเขาจนไม่อยากทำงานด้วย ซึ่งความคิดนี้มันไม่ควรมีและเกิดขึ้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดีงามที่สุด
รับมือกับคนที่เห็นแก่ตัว (งานเธอก็งานเธอ แต่งานฉันเธอต้องช่วย)
คนแบบนี้เจอบ่อยมากๆและมักจะอยู่เกือบทุกที่เวลาที่ผู้เขียนต้องย้ายสถานที่ทำงานไปอยู่ที่ใหม่
มันจะมาในรูปแบบที่ว่างานของเรา จะไม่ช่วยทำ ไม่อยากอาสา แต่ถึงเวลางานของเขา เขาจะต้องให้เราช่วยเหลือและมักจะเป็นเราที่ทำมากกว่า ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนรับผิดชอบงานกลัวว่างานที่ช่วยจะออกมาไม่ดีและเขาอาจจะถูกหัวหน้างานตำหนิได้ คนพวกนี้มันก็ฉลาดนักรู้จักหลอกใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้นเราจึงไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของเขา เราอาจจะต้องหยิบยืมนิสัยเสียบางอย่างมาใช้บ้าง
เราควรช่วยคนที่ช่วยเหลือเรามากกว่าช่วยคนที่เห็นเราเป็นแค่หมารับใช้ พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง
แต่หากจำเป็นจะต้องช่วยจริงๆเพราะเราเป็นคนขี้สงสาร มองว่าถ้างานของเขาไม่เสร็จตามกำหนดเขาอาจจะต้องเดือดร้อนหรือส่วนรวมลำบาก
หรือเพราะเหตุผลที่ว่ามีภาระที่บ้านต้องทำนู้นนี่นั่นต่างๆนานา
ทั้งๆที่ข้ออ้างเหล่านี้มันเป็นข้ออ้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อขอความเห็นใจและแสดงละครตบตาเราเพื่อทำให้เรารู้สึกสงสารและเห็นใจจนต้องยอมช่วยเหลือก็ตามที
คงทำได้แค่หลับหูหลับตาเป็นคนโง่ ช่วยทำไปถือซะว่าทำบุญทำทาน
แม้ว่าการทำบุญกับคนประเภทนี้มันอาจจะไม่ขึ้นก็ตาม
แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนทำดีย่อมได้ดีและเราคือคนที่ได้บุญจากการกระทำสิ่งนั้น
และห้ามลืมเมื่อช่วยไปแล้ว อย่าลืมทวงคำขอบคุณจากคนประเภทนี้ อย่าทำให้เขาเคยชินว่าสิ่งที่เราทำให้ มันคือความรับผิดชอบของเราที่ต้องช่วยเขาและเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องซาบซึ้งกับมัน
อย่าสร้างความคิดผิดๆให้เกืดขึ้นเพราะไม่งั้นงานครั้งหน้าที่เป็นงานของเขา คุณก็จะต้องช่วยเขาในแบบที่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้กลายเป็นความรับผิดชอบถาวรซะงั้น
รับมือกับคนที่ชอบปัดงาน (อะไรละงานนี้ฉันไม่ได้ทำ ไม่เคยทำ)
คนแบบนี้รับมือง่ายสุดก็แค่มีหนังสือสั่งการที่ชัดเจนว่าใครต้องรับผิดชอบงานอะไร แล้วก็กระจายงานออกไป
ทำได้ไม่ได้ก็ค่อยมาว่ากันอีกที
หรือหากต้องการการช่วยเหลือก็ให้มาขอกันเอาเองคนประเภทนี้มักจำนนด้วยหลักฐาน
และโปรดจำไว้ด้วยว่าการสั่งการด้วยวาจาใช้ไม่ได้กับคนแบบนี้
มันจะต้องมีเอกสารที่ลงนามด้วยผู้บังคับบัญชาชัดเจนถึงจะถูกต้องและเขาก็จะปัดออกไม่ได้
แต่หากเขายังมึนปัดงานออกจากตัวอีก
คราวนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาแล้วว่าจะกำราบด้วยวาจาอย่างไรและมีแนวทางลงโทษแบบไหน
อย่าปล่อยให้เขาปฏิบัติตัวอย่างนี้ต่อไปโดยไม่มีการตักเตือนเพราะมันจะเป็นนิสัยเสียที่ติดตัว
จนทำให้เพื่อนร่วมงานไม่มีความสุขในการทำงานและไม่อยากทำงานร่วมด้วย ส่งผลให้องค์กรไม่เดินหน้าซึ่งมันส่งผลเสียมากกว่าผลดี
เราอย่าลืมว่าทีมที่ดีจนทำให้งานประสบความสำเร็จได้นั้นย่อมมาจากทีมที่เข้มแข็งและสามัคคีกัน
หัวหน้างานอย่าสร้างความไม่เท่าเทียมโดยการปล่อยปละละเลยคนที่ทำผิดแล้วไม่ให้ความเป็นธรรมต่อคนที่มีจิตสำนึก อย่าตำหนิคนที่ทำงานมากกว่าคนที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย อย่าทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อลูกน้องจนดูเหมือนว่ามีความลำเอียงเกิดขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นกำลังใจในการทำงานก็อาจทดถอยน้อยลงไปจนไม่อยากจะทำให้องค์กรเดินหน้าต่อไปก็ได้